ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

แก้ความเชื่อ

๘ ก.ค. ๒๕๕๒

 

แก้ความเชื่อ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๘ กรกฏาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ไม่รู้ว่าจะตอบจบหรือเปล่า เพราะพอเราตอบปัญหาหนึ่งนี่มันจะครอบคลุมหมดไง อันนี้พอเรามันตอบไปแล้ว เหมือนบางปัญหาไม่ได้ตอบ แต่ความจริงเราตอบแล้ว เราตอบแล้วคือว่า คือเราเข้าใจไง เราเข้าใจว่าตอบแล้วแต่โยมไม่เข้าใจ ก็ประท้วงว่ายังไม่ได้ตอบ ยังไม่ได้ตอบ ไอ้เราจะตอบรึ ก็ฉายหนังซ้ำเก่า ก็เลยไม่อยากตอบไง แต่เดี๋ยวจะพยายามจะตอบให้เคลียร์ให้หมด

อย่างนี้ดี เพราะเรามันควงมาหลายวันแล้ว เมื่อเช้า เด็กที่จะกลับ ที่เขาเป็นดาราน่ะ เขามาพูดนี่ถูกใจมาก เขาบอกว่า เขาเป็นคนที่แบบว่าบรรยายธรรมะด้วย ฉะนั้นเขาบรรยายธรรมะอยู่แล้ว แล้วพวกลูกศิษย์ที่นี่เขาไปชวนมา พอชวนมาที่นี้ปั๊บ เขามาฟัง ฟังเทศน์หลาย ๆ วันเข้า เขาบอก อืม ใช่เลย ใช่ที่หลวงพ่อพูดทั้งนั้นเลย คือมีแต่ความจำ ฉะนั้นเขามาที่นี่ พอจะกลับ เขามาลา เขาบอกเมื่อคืนเขานั่งทั้งคืน แล้วมันปวดมาก ปวดมากแล้วเขาก็ต่อสู้กับความปวดของเขา

เขาบอก เราจะไปบรรยายธรรมน่ะ เราต้องมีของ แหม คำนี้ถูกใจนะ เราต้องมีของ คือเราต้องรู้จริงไง เขามั่นใจว่าว่าเขารู้แล้วนั่นน่ะ แต่พอมาเจอเรานี้ พอมาเจอเราเข้าไม่กี่วันน่ะ เขารู้สึกตัวเลยว่า เขายังไม่มีของไง เขาต้องมีของ เอ้อ คำนี้ถูกใจ คือเขาตั้งใจจริงน่ะ เขาตั้งใจดี เขาทำความดี อื้ม ถูกใจน่ะ เขาบอกว่า เขายังไม่มีของ ต้องทำให้ได้ของ แบบภาษาวัยรุ่นนะ เออ ฟังแล้วเข้าใจได้

ธรรมดาเราต้องอารัมภบทก่อน อารัมภบทการเทศน์ พระพุทธเจ้าเวลาเทศน์นะ ต้องอนุบุพพิกถา คือทำให้จิตใจของคนพร้อม เวลาหลวงตาท่านจะเทศน์เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าไม่นิ่งท่านไม่เทศน์ นี้เหมือนกัน เวลาเราจะเริ่มต้นนะ ทำไมเราต้องอารัมภบททุกทีเลย ส่วนใหญ่แล้วเราจะอารัมภบท คือว่า พูดธรรมะทั่วไป ให้พวกเราพร้อม ให้จิตใจมันเปิด แล้วเวลาเราพูดธรรมะไป มันจะได้ เราก็ไม่ต้องเสียแรงมากไง ยิงทีเดียวจะได้เข้าเป้าเลยไง เนี่ยอารัมภบทก่อน

ฉะนั้นเมื่อกี้ดูทีวี ดูหลวงตาน่ะ เขาส่งข่าวมาว่า หลวงปู่หลอดเสียแล้ว เสียเมื่อวานตอนเที่ยงเศษ ๆ หลวงปู่หลอดเสีย นอนอยู่โรงพยาบาลปีกว่า แหม หลวงตาเลยติดเครื่องเลย กรรมฐานทำไมมันอ่อนแออย่างนั้น กรรมฐานทำไมไปหาหมอ หลวงตาติดเครื่องเลยนะ เมื่อกี้นี้ใช่ไหม นี้พูดถึง พูดถึงความรู้สึก ความรู้สึกของแต่ละบุคคลนะ ความรู้สึกของแต่ละบุคคล ความรู้สึกแตกต่างกัน ความรู้สึกหลากหลาย อันนั้นเป็นอันหนึ่ง ฉะนั้นถ้าความจริงของเรา เป็นความจริงของเราก็เป็นความจริงของเราอันหนึ่งนะ

ตะกี้ไอ้เรื่องเอามาบวช เพื่อจะให้เราพร้อม ฉะนั้น เราทำบุญกุศลกันเห็นไหม ที่เรามาทำเนี่ย ดูสิตอนนี้หน้าฝน ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทุกอย่างดีมาก บรรยากาศดีมาก เรามาเห็นไหม สัปปายะข้างนอกดี ต้องมาข้างในด้วย เด็กมาวัดคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่นี่แหละ แต่เขาไปทำงานอยู่กรุงเทพ แล้วเขาไปทางภาคเหนือ เขาไปบวชที่ภาคเหนือ แล้วเขาบอกว่า เขาไปดูในเว็บไซต์ว่าที่โพธารามก็มีวัด เขาไม่เชื่อ เมื่อวานเขามาดู พอเขามาเห็นสภาพ เพราะเขาเคยบวชไง เขาบอกว่า เออใช่ วัดป่า

เห็นไหมสัปปายะ ถ้าข้างนอกเป็นสัปปายะ การปฏิบัติของเรามันจะง่ายขึ้น ถ้าข้างนอกไม่เป็นสัปปายะนะ เราต้องขวานขวายเอา ขวนขวายไง ขวนขวายหา ดูสิผู้ที่ปฏิบัติเห็นไหม อยู่ที่บ้านน่ะ จะมาถามบ่อยมาก ทาง ๖ เมตร ทาง ๓ เมตรเนี่ยเดินจงกรมได้ไหม สิ่งต่าง ๆ จะสำเร็จได้ไหม ความจริงเราหาของเราเองได้ทั้งนั้นนะ เพราะว่าไม่มีอะไรที่เราจะได้พร้อมหมด มันจะมีขาดตกบกพร่องไปตลอดเวลา เราจะหาอย่างไรละที่ให้เราทำได้ ถ้าคนฉลาดนะ

เมื่อก่อนนะ เราธุดงค์ไป แล้วเราเที่ยวไปน่ะ ในที่ต่าง ๆ เราพยายามทำของเรา ทีนี้ไปพักอยู่ที่หนี่ง ฝนมันตกทั้งวันเลย เราเดินจงกรมอยู่ชายคา เออ เราว่าเราเป็นคนขยันหมั่นเพียรคนหนึ่ง แต่มาฟังหมู่คณะบอกว่าหลวงปู่หลุยน่ะ ท่านเดินจงกรมในกลด ในกลดกลม ๆ ท่านจงกรมได้ เห็นไหม คนเราถ้าจะภาวนานะ ที่ไหนก็ทำได้ ถ้าใจมันเอา ในกลดแล้วยังนอนกันเนี่ย ท่านเดินจงกรมได้น่ะ เวลาท่านนั่งแล้วท่านเดินจงกรมได้

นี่พูดถึงสัปปายะ ถ้ามันมี เราก็แสวงหา แต่ถ้าคนเรามันจนตรอกจนมุมนะ เวลาพระเขาคุยกัน พูดถึงหลักการเห็นไหม อย่างเช่น เรานี่ว่าเราคับแคบเราไม่มีทางไป

เขาให้เราคิดย้อนถึงตอนที่เราเป็นทารกอยู่ในครรภ์ ๙ เดือน มันคุดอยู่อย่างนั้นทำไมมันอยู่ได้ ในตอนนั้น สภาพนั้นมันทนได้ แต่ตอนนี้ ให้เราจับไปมัดไว้อย่างนั้น ๙ เดือนเราอยู่ได้ไหม นี่พูดถึงเวลาเราให้กำลังใจตัวเองไง ในการประพฤติปฏิบัติ เราจะเข้าปัญหาเลย

ถาม : โยมพยายามปฏิบัติตามที่หลวงตาสอน อย่าลืมพุทโธ ๆ แต่ยังระงับความโกรธไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะคนใกล้ชิดในบ้าน จะแก้ไขอย่างไรคะ

ตอบ : โดยการประพฤติปฏิบัติ โดยทางความเป็นจริงของพวกเรา เราก็คิดกันเลยว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นกิเลส เราก็อยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วใครจะประพฤติปฏิบัติ ตรงนี้ ถ้าเราเผลอปั๊บมันเป็นจุดขายของการเผยแผ่ธรรมไง เมื่อก่อนเราเป็นคนโกรธมาก เมื่อก่อนเราเป็นคนโทสะมาก เดี๋ยวนี้เราไม่โกรธเลย ไม่โกรธเลย มันไม่โกรธก็ต่อเมื่อเรากดมันไว้ แต่อย่างนี้ นี่เห็นไหม โดยเฉพาะคนใกล้ชิดในบ้าน จะแก้ไขอย่างไร คนใกล้ชิดนี่นะ แต่จริง ๆ แล้วความโกรธน่ะไม่ใช่คนใกล้ชิด ความโกรธมันเกิดมาจากใจเราต่างหาก

ในเมื่อมันมีพื้นฐานที่นี่ ถ้าเราจะแก้เรา ถ้าใครจะละความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้เนี่ยนะ มันเป็นพระอนาคา พระอนาคาเท่านั้นถึงจะละความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ แต่ในเมื่อเรายังเป็นปุถุชนอยู่ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา ยังละความโลภ ความโกรธ ความหลงไม่ได้ เพราะความโกรธน่ะ นี่ กามราคะ ปฏิฆะ นั้นนะ ตัวนั้นน่ะมันคือที่อยู่ของความโกรธ

ทีนี้ถ้าจะละตรงนั้นได้เห็นไหม ถ้าเราคิดจะละความโกรธจนไม่มีความโกรธเลย เราก็เป็นพระอนาคาสิ นี่เราก็ไม่ได้เป็นพระอนาคาใช่ไหม เราก็รู้ว่าเราไม่ได้เป็นพระอนาคา นี้ถ้ายังไม่เป็นพระอนาคา เราก็ต้องฝึกของเราสิ มันมีการแก้กันเห็นไหม โดยกรรมฐานเรา โดยครูบาอาจารย์ของเรา ท่านจะพูดความจริง สิ่งที่เป็นความจริง สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติแล้วเผชิญหน้า ธรรมะเชิงประจักษ์ต้องประจักษ์ต่อหน้า เป็นการแก้ไขกันต่อหน้า

ทีนี้สังคมโลกเขาไม่เป็นกันอย่างนั้นน่ะ ดูสิมารยาทสังคมเห็นไหม กิริยามารยาทเนี่ย คนนี่เห็นไหม กิริยาส่ออะไรนะ วาจาส่อกิริยามารยาท เวลาสังคมเขายังมีมารยาทสังคมของเขาเลย มารยาทสังคมนั้นน่ะ เขาแสดงของเขาก็เพื่อประโยชน์ของเขาเท่านั้นเอง แต่ความโกรธ เขาก็กดไว้เท่านั้นน่ะ ไม่มีหรอก ฉะนั้นเวลาเขาพูดน่ะ เขาละความโกรธได้ ความโกรธเป็นจุดขายนะ พวกเราบอกว่า เห็นไหม เมื่อก่อนนะคนนั้นเป็นคนไม่ดีเลย เดี๋ยวนี้ปฏิบัติแล้วดีขึ้น มันชั่วคราวนะ มันชั่วคราวทั้งนั้น

ฉะนั้นเราจะบอกว่าในการปฏิบัติโดยข้อเท็จจริงมันยาก มันยากเพราะการต่อสู้กับตัวเอง การชนะตัวเองนี่ยากที่สุด นี่ยากที่สุด เวลาฟังธรรมหลวงตา ปฏิบัติตามคำสอนหลวงตาแล้วทำไม่ได้ อย่างนี้ ปัญหานี้เรารีบเอามาตอบก่อนเพราะอะไร เพราะถ้าอย่างนี้ปั๊บ เห็นไหม ทำตามหลวงตา ทำตามพระป่าแล้วไม่ได้เรื่องไง มาทำตามพวกข้า พวกข้าดูไว้เฉย ๆ เพ่งไว้เฉย ๆ มันหายโกรธไปเอง ทุกคนก็ว่าจริงนะ เออ เมื่อก่อนคนนี้ก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี คนไม่ดีหมดเลย เดี๋ยวนี้ดีหมดเลยนะ เออ ไอ้เราก็ไปสิ

แล้วมันเป็นความจริงไหม มันไม่จริงหรอก ไอ้ที่ว่าไม่โกรธ ๆ ให้มาหาเราสิ แหม นี่พูดเป็นคตินะ มันชัดเจน มันชัดแล้วเราพูดแล้วมันกินใจนะ เห็นไหม ที่หลวงปู่ตื้อมาพักอยู่ที่วัดอโศการามไง แล้วพวกคุณหญิงคุณนายก็ไปอธิบายธรรมให้ท่านฟังไง ว่าสิ้นกิเลสแล้ว ท่านก็นั่งฟังเฉย… เพราะหลวงปู่ตื้อเป็นพระอรหันต์นะ มีอภิญญาด้วย แล้วพอโยมเขามานั่งอธิบายธรรมะไง จะโอ้อวดว่าตัวเองไม่มีกิเลสไง ท่านก็นั่งฟังเฉย พอนึกว่าหลวงปู่รับรองไง ก็ลาล่ะค่ะ ลุกขึ้นกราบนะ นี่เป็นธรรมนะ แต่ท่านพูดอย่างนี้จริง ๆ กลับแล้วเหรอ กลับแล้วเหรออีดอกทอง เท่านั้นแหล่ะ หลุดหมดเลย พระอรหันต์หายเกลี้ยงเลย ก็บรรลุธรรมหมดแล้วไง

มันกดไว้เห็นไหม ไปพูดให้หลวงปู่ตื้อฟังที่วัดอโศฯ นี่เราพูดปั๊บอย่างนี้ก็เหมือนพวกเราทำรุนแรงเกินไป แต่มันเป็นภาพที่ชัดเจนไหม พอพูดธรรมะนะ โอ้โฮ ธรรมะนะสิ้นกิเลสแล้วล่ะ โห ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ทุกอย่างทำได้หมดเลย โหย รู้ธรรมะ ท่านก็นั่งฟังเฉย ถ้าพูดมันก็โต้แย้งกันไปเท่านั้นน่ะ จนกราบนะ งั้นหนูกราบลานะ เออ กลับเถอะอีดอกทอง อรหันต์เกลี้ยงเลยนะ บรรลุธรรมนี่หลุดหมดเลย หายหมดเลย

นี่ไง มันกดไว้เฉย ๆ พอมันกดไว้เฉย ๆ ที่ว่าเขาไม่โกรธ ไม่โกรธน่ะ มาเถอะ มาเถอะ มันมีเทคนิคไง ถ้ามันไม่มีคือมันไม่มี มันมีแต่เราไปพูดกัน เราจะบอกว่าเห็นไหม ธรรมะจอมปลอมไง สิ่งที่จอมปลอมอย่างนี้ แล้วเราก็ยึดถือกัน แล้วพอเราเป็นตามความเป็นจริงไง ความโลภ ความโกรธมันแก้ได้ยาก เห็นไหม กำหนดพุทโธ ๆ ตามหลวงตาสอน แล้วมันแก้ไม่ได้ แล้วมันแก้ ทำไมแก้ไม่ได้ มันก็แก้ไม่ได้ ทำไมจะไปแก้ได้ยังไง ก็มันคนละชั้นนะ มันจะแก้น่ะก็พุทโธ ๆ ไป พุทโธเพียงสร้างกำลัง

คนเราเห็นไหม เราเกิดมา เราเข้มเข็งทั้งจิตใจและทั้งร่างกายใช่ไหม เข้มแข็งขึ้นมาแล้ว เราจะเอาชนะความโกรธ เราก็ต้องมีเหตุมีผลใช่ไหม เริ่มต้นการเอาชนะความโกรธนะ แผ่เมตตาไว้ก่อน ยิ่งคนใกล้ชิดเรา คนในบ้านเรา ทำไมถึงเป็นคนในบ้านเราล่ะ คนข้างนอกนะ เขาไม่มาทำอะไรให้เราสะเทือนใจหรอก คนข้างบ้านเรา โทษนะ สามีภรรยานี่ร้ายกาจนัก สามีก็รักภรรยา ภรรยาก็รักสามี แต่สามีภรรยาก็คิดว่า เราก็รักเขา เขาก็รักเรา ทำอะไรก็คิดว่าเขาจะเกรงใจเรา

ไอ้สามีหรือภรรยาก็บอกว่า คนใกล้ชิดไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเห็นไหม คำว่าไม่เป็นไรไง คนใกล้ชิดไม่เป็นไรเพราะว่าเราคนใกล้ชิด ทำอะไรก็ตามสบาย ไอ้คนหนึ่งก็หวังว่าเขาจะทำเพื่อไม่สะเทือนใจเรา ไอ้อีกคนก็บอกว่าไม่เป็นไรเพราะคนใกล้ชิด นี่ไง มุมมองมันต่างกันไง อีกคนหนึ่งบอกว่า ก็หวังใช่ไหม คนรักอ้า คนรักก็ต้องเข้าใจเรา คนรักก็ต้องรู้เรื่องความประพฤติของเรา ไอ้คนรักก็บอกว่า ไม่เป็นไรคนใกล้ชิดเรา เราจะทำยังไงเราจะแสดงกิริยายังไงก็ได้

ทั้งสอง เวลาคิดจะเอานะ คนรักเราก็ต้องทำตามเรา แต่เวลาคิดเอาเข้าข้างตัวเองนะ ไม่เป็นไรไง มันจะเอาตามสบายมันไง พอสบายไปมันก็เกิดความกระทบกระทั่งกัน นี่ไงคนใกล้ชิดไง เราก็โกรธหนักนะ โกรธเพราะอะไร เพราะรักเขา เรารักเขามาก เรามุ่งหวังว่าเขาจะเข้าใจเรา สุดท้ายแล้วนะ เขาทำในสิ่งที่ตรงข้ามหมดเลย ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เราต้องแผ่เมตตาสิ จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน เราพูดบ่อยมากเรื่องการปฏิบัติ คู่แฝดนะ ไข่ใบเดียวกันของแม่ ไข่ใบเดียวกันแล้วมาแยกเป็น ๒ คน นิสัยยังไม่เหมือนกันเลย แล้วคนรักเราล่ะ เราจะหวังได้ไหม เราจะหวังให้คนที่เรารัก คนใกล้ชิด คนที่เราปรารถนาจะทำตามเรา

แม้แต่พ่อแม่กับลูก พ่อแม่กับลูกนี่พามาหาเราก็เยอะมากนะ เราบอกเลย ลูกรักพ่อแม่มากเลย แต่ลูกก็เบื่อพ่อแม่น่าดูเลย เบื่อมาก ๆ พ่อแม่ขี้บ่น แต่ลูกก็รักแม่ แต่เบื่อพ่อแม่มากเลย แม่ก็เหมือนกันแม่ก็เมตตาต่อลูกนะ แม่ก็หวังดีต่อลูกนะ แต่พอมันไม่เข้าใจกันโดยวัยไง พอพูดว่าเขาเข้าใจ เพราะคนด้วยกันน่ะ แม้แต่ระหว่างแม่กับลูก ลูกของเราใช่ไหม ก็ต้องทำตามเราสิ แล้วลูกก็บอกว่า อู้หู ดูแลแม่นะ ลูกก็ดีนะให้แม่ทุกอย่างเลย

แต่แม่.. ด้วยธรรมชาติของกิเลส ธรรมชาติของเรา ลูกของเรา เราเลี้ยงของเรามา ใช่ไหม เราต้องการสิ่งใด ลูกก็ต้องหาให้เราได้หมดเลย ลูกก็หาข้าวให้กินนะ นี้ลูกเขามาเล่าให้ฟัง หาข้าวให้กิน พอเช้ากินเสร็จมื้อเช้าใช่ไหม มื้อกลางวัน คนแก่ก็กินอะไรไม่ได้ ก็กินได้เล็ก ๆน้อย ๆ แต่ลูกก็ประหยัดไง บางอย่างที่ยังดี ๆ อยู่ก็เก็บมาใส่อาหารกลางวันเพื่อให้แม่กินอีก แม่ก็ไม่ยอมนะ บอกว่าต้องเอาสด ๆ ร้อน ๆ เอาดี ๆ หมดเลย แล้วมันก็กินไม่ลง ก็กินนิดหนึ่ง ไอ้ลูกก็ประหยัดใช่ไหม ไอ้แม่ก็ว่าทำไมลูกไม่อุปัฏฐากไม่ดูแล

พอมาหาเรา เราพูดอย่างนี้ให้ฟังนะ ลูกก็รักแม่ แม่ก็รักลูกนี่แหละ แต่ด้วยมุมมองเพราะโดยวัยโดยความต้องการ ธรรมชาติของคนแก่ชอบเล่าเรื่องอดีต อย่างเช่น เราชอบเล่าเรื่องอดีต อย่างคนแก่ชอบเล่าเรื่องอดีต ไอ้ลูกก็เบื่อจะฟังใช่ไหม จริง ๆ นะ เรายังไม่แก่ไม่รู้หรอก พอเราแก่ขึ้นไป พอเราแก่เห็นไหม คนแก่เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง มันแบบว่ามันต้องการคนอุปัฏฐาก มันต้องการ มันเหงาน่ะ มันเหงา มันไม่รู้จะว่ากับใคร ไอ้ลูกก็นึกว่าอุปัฏฐากก็เอาข้าวมาตั้งให้กินไง กินกันก็จบไง แต่ไม่ใช่ พ่อแม่ก็อยากให้อยู่ใกล้ ๆ นะ ก็อยากจะให้ดูแล

มันต่างกันโดยวัยไม่เข้าใจหรอก เราบอกว่าแม่ลูกนะเถียงกันจนตายก็ไม่รู้เรื่องหรอก ต้องมาหาพระ พระเป็นกรรมการไง พอพระเป็นกรรมการ พระก็บอกเห็นไหม แม่รักลูกมากเลย แต่ลูกก็ต้องการตามแรงปรารถนา ไอ้ลูกก็รักแม่มากเลย แต่ลูกก็เบื่อแม่มากสุดเลย พอเราพูดอย่างนั้น ปรับความเข้าใจนะ เขากลับไป แล้วลูกสาวมาหาเราทีหลัง โอ้โฮ หลวงพ่อ สุดยอดเลย เดี๋ยวนี้นะพอเอาอาหารเช้าไปให้ พออาหารเช้าท่านเสร็จ ท่านก็กินของท่านพอประมาณ ที่เหลือเก็บไว้ เอาไปให้ท่านอีก ท่านยอมรับท่านกินได้ละ เมื่อก่อนที่โกรธก็โกรธตรงนี้ไง โกรธที่ลูกรักเราไม่จริง อาหารมื้อกินเหลือเศษยังให้กินอีก แต่ไอ้ลูกก็บอกแม่อาหารนี้มันสุดยอด มันของดีทั้งนั้นน่ะ จะเอาให้แม่กิน

ถ้าคนใกล้ชิดกันจะเป็นอย่างนี้ เราต้องทำใจเราไง เราทำใจเรา แล้วเราศึกษา ถ้าศึกษาธรรมะนะ เรื่องอย่างนี้แก้ได้หมดเลย แต่เราไม่ศึกษาธรรมะ พอเราศึกษาธรรมะปั๊บ เพราะไม่ศึกษาธรรมะใช่ไหม เราต้องการ เอ้า ก็แม่เรา แม่เรามีวุฒิภาวะมากกว่าเรา แม่เราเป็นแม่ของเรา แม่เราต้องมีปัญญามากกว่าเรา แม่เราต้องเข้าใจ ก็ไปเรียกร้องเอาอีกนะ ว่าแม่ต้องเข้าใจลูก ไอ้แม่ก็เรียกร้องนะ ไอ้ลูกของเรา ลูกของเราเลี้ยงมา ลูกก็ต้องเข้าใจเรา ต่างคนต่างเรียกร้อง เรียกร้องในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา อายไง แม่ก็ไม่กล้าพูดตรง ๆ กับลูก ไอ้ลูกก็ไม่กล้าพูดตรง ๆ กับแม่ ไอ้ต่างคนต่างคิดอยู่ในใจ แล้วก็มาโกรธกัน นี่คนใกล้ชิด ต้องแผ่เมตตา

เราเข้าใจอย่างนี้ปั๊บ เราถ้าศึกษาธรรมมะแล้วเข้าใจแล้วนะ เราทำดีนะ ทำดีกับพ่อกับแม่ แม่จะเข้าใจ พ่อแม่เข้าใจ หรือบางทีคนใกล้ชิดเนี่ย คนใกล้ชิดเป็นอย่างนี้หมด ถ้าศึกษาธรรมะจะเข้าใจ เข้าใจเพราะเหตุใด เข้าใจเพราะศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกเลยการครองเรือนนี้แสนยาก เพราะการครองเรือนคือการครองหัวใจ แม้แต่หัวใจของเราหัวใจดวงเดียวเรายังเอามันไม่อยู่เลย แล้วเราไปมีสามีภรรยา เป็นสองดวงใจ มีลูกขึ้นมาเป็นดวงใจที่ ๓ มีลูกขึ้นมาเป็นดวงใจที่ ๔ ไอ้ดวงเดียวนี่กูยังทุกข์เกือบตายเลย แล้วกูต้องบริหารทีสี่ดวงห้าดวง ทุกข์น่าดูเลยนะ ไอ้บริหารหัวใจเป็นเรื่องที่ยากที่สุด

นี่ไง การครองเรือนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก เราไปอ่านเจอมาหมดแล้ว ถึงซึ้งใจ ซึ้งมากนะ แล้วพอคิดดูสิ เราอยากให้คนเข้าใจเรา คนเข้าใจเรา ถามจริง ๆ โยมเข้าใจตัวโยมเองไหม ตัวเองเข้าใจตัวเองไหม แล้วใครมันจะเข้าใจเรา เอ้า เข้าใจตัวเองไหม เข้าใจตัวเองนี่เข้าใจไหม แล้วใครจะเข้าใจเรา แต่หวังนะ ไอ้แม่ก็หวังความเข้าใจจากลูก ไอ้ลูกก็หวังความเข้าใจจากแม่ แต่ใจมันเองยังไม่รู้จักใจมันเลย

เห็นไหมธรรมะ ถ้าศึกษาธรรมเข้าไปแล้วนะ พอเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมา มันก็เข้ามาดูใจเราใช่ไหม แผ่เมตตา สัตว์โลกเป็นอย่างนี้ สัตว์โลกเกิดมามืดบอด เราก็มืดบอด สัตว์โลกมืดบอดทั้งนั้น แล้วความโกรธเนี่ย ความกระทบกระทั่งกันมันจะไม่เกิดได้ยังไง ฉะนั้นการกำหนดพุทโธ ๆ แบบหลวงตา ใช่ เรากำหนดพุทโธแบบหลวงตา เพื่อสร้างให้จิตนี้ เวลาอยู่ใกล้ชิดใช่ไหม โกรธละ กำหนดพุทโธ ๆ ระงับก่อน ตั้งสติก่อน เดี๋ยวกลับไปสู้มันใหม่ มันก็ได้แค่นี้ไง ก็ยังดีเห็นไหม เวลาเราโมโหเสร็จแล้ว เออ ดับไฟให้ได้ เอาน้ำสาดมันเลย พุทโธ ๆ ๆ ให้ไฟมันเย็นก่อน พอไฟมันเย็นแล้ว แล้วค่อยกลับไปจัดการใหม่

พุทโธได้แค่นี้นะ พุทโธคือระงับ พุทโธคือทำจิตให้ตั้งมั่น แต่ความโกรธ ความโกรธ ความกระทบกระทั่งกัน มันเป็นเรื่องจริตนิสัย มันเป็นเรื่องตัณหาความทะยานอยาก อย่างเช่นที่เราพูดมาทั้งหมด คือเราหวังไง ตัณหาความทะยานอยาก หวังแล้วไม่สมหวังเป็นทุกข์ สิ่งที่เกิดขึ้นมา ต้องคำพูดที่สละสลวย เขาพูดขึ้นมาไม่สละสลวย เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมา ผลักไสไม่ต้องการก็เป็นทุกข์ หวังก็ไม่ได้อย่างที่หวัง ไอ้เวลาเขาพูดมาไม่ต้องการ ผลักไสมันก็พูดกรอกหูอยู่ทุกวัน ทุกข์ทั้งนั้นเลยเห็นไหม

ทุกข์เกิดจากอะไร เกิดจากตัณหาความทะยานอยาก มันไม่ใช่เกิดจากตัวจิตที่เรากำหนดพุทโธ ๆ อยู่นี่ นี่กำหนดพุทโธ ๆ เพื่อให้เราเข้มแข็งเพื่อให้เรามีกำลังเห็นไหม นี่ การแก้ไขเห็นไหม เพราะเขียนมานี่ไง ที่ว่าทำตามหลวงตาสอน อย่าลืมพุทโธ ๆ แต่ทำยังไง แต่ยังระงับความโกรธไม่ค่อยได้ ความโกรธระงับไม่ได้ พุทโธ ๆ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของเรา ความโกรธเราจะระงับได้ เราต้องแผ่เมตตา แผ่เมตตาให้กับคนใกล้ชิดที่เขาทำให้เราโกรธ แล้วถ้าแผ่มันไม่ได้นะ ถามสิถามตัวเอง ว่าใจของเรา เรายังรักษามันไม่ได้เลย

เห็นไหมคนใกล้ชิดกับเราเอง เราจะบอกว่าอารมณ์กับจิตมันใกล้ชิดกว่าคนใกล้ชิดนะ ความคิดกับจิต ความคิดไม่ใช่จิตแต่มันอยู่กับจิต มันใกล้ชิดกว่าอีก แล้วความใกล้ชิดอย่างนี้ะ คนใกล้ชิดทำให้เราโกรธ แล้วความคิดของเราทำให้เราโกรธไหม ถ้าความคิดทำให้เราโกรธแล้วเรารักษาตรงนี้ นี่เรารักษาตรงนี้ คือเราใช้ปัญญาด้วย พุทโธก็ต้องทำไปด้วย แต่พุทโธแก้โกรธไม่ได้ แต่พุทโธนี่ทำให้เราเข้มแข็ง ทำให้เราเข้าใจ ทำให้เราดีขึ้น ปัญหาต่อไป

ถาม : ทุกครั้งที่ภาวนาแล้วเกิดปีติ จะมีน้ำตาไหล แล้วจะรู้สึกผ่องใส มีความสุข แต่หากการภาวนาครั้งใดไม่เกิดปีติ จะรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำ ไม่ได้อะไรในการภาวนาและผิดหวัง คิดแบบนี้เพราะถูกกิเลสหลอกหรือเปล่าค่ะ

ตอบ : นี่คือสงสัยว่ากิเลสหลอกหรือเปล่า แต่ก็ยังดีนะ ทุกครั้งที่ภาวนาเกิดปีติ มีน้ำตาไหลแล้วมีความสุขมาก มีความผ่องใส มีความสุข อย่างนี้มันเกิดปีติถูกต้อง ถ้าปีติมันเกิดขึ้นเรามีความสุข แล้วถ้าไม่ได้อย่างนั้น เห็นไหม เราผิดหวัง

เราจะบอกว่า เวลาเกิดปีติแล้ว เกิดบ่อยครั้ง บ่อยครั้งเข้า ปีติมันจะคุ้นเคย พอมันคุ้นเคยขึ้นไปแล้ว พอมันเกิดปีติ ปีติมันเกิดเหมือนเดิเม แต่ความรับรู้ของเราน่ะมันจางไปเอง เพราะมันเคยชิน พอมันเคยชิน เราจะให้เกิดปีติเกิดน้ำตาไหลพรากอยู่อย่างนั้น มันก็เหมือนเรา พอเกิดขึ้นมานี่ล็อคเลยนะ กี่ปีกี่เดือนเราก็ไม่แก่ไม่เฒ่าจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่พูดถึงร่างกายของคนมันยังเสื่อมสภาพใช่ไหม อาการของจิตมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นี่มันรับมันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้ามันเปลี่ยนแปลงเรามีสติ มีสติ กำหนดพุทโธต่อไป เห็นไหม

วิตก วิจาร วิตกคือนึกพุทโธ วิจารนะนึก วิตกคือนึกขึ้น วิจารคือพุทโธ ๆ เนี่ย วิตกวิจาร นึกขึ้นน่ะ ความนึกคือวิตกขึ้น ถ้าเราไม่วิตก พุทโธจะเกิดขึ้นมาได้ยังไง เราอยู่เฉย ๆ พุทโธจะมาเองไหม เราก็นึกพุทโธใช่ไหม นึกขึ้นมาคือวิตกขึ้นมา วิตกขึ้นมาคือเริ่มคิดขึ้นมา วิตกขึ้นมา วิจาร พุทโธ ๆ ๆ ๆ วิตกวิจาร ปีติ เห็นไหม พุทโธ ๆ ๆ ๆ จากวิตกวิจารมันจะเกิดปีติ จากปีติเห็นไหม ถ้าปีติมันเกิดขึ้นมามันจะตื่นเต้น แล้วปีติของแต่ละบุคคลมันไม่เหมือนกัน บางคนมีอำนาจวาสนามากพอ เกิดปีติจะรับรู้สิ่งต่าง ๆ จะรู้ไปหมดนะ รู้วาระจิต รู้ความคิด ปีติมันอยู่ที่อำนาจของคน อยู่ที่อำนาจของจิต จิตดวงไหนมีอำนาจมากมันจะรู้แปลก ๆ มาก ถ้าจิตดวงไหนอำนาจไม่มากเท่าไหร่มันจะรู้ตามประสาของมัน

ยิ่งจิตปกติ ไอ้สุกฺขวิปสฺสโก มีแค่น้ำหูน้ำตาไหล ขนพองสยองเก้า แล้วพอมันเกิดปีติเห็นไหม วิตกวิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ จิตมันพัฒนาไปของมันแล้ว จิตถ้ามันทำดีนะ จิตมันจะพัฒนาของมันไป เว้นไว้แต่เราทำแล้วมันไปไม่ได้ จิตมันไม่พัฒนาของมัน มันก็อยู่มีปีตินั้นแหละ แต่การรับรู้ของเรา เราเปรียบเหมือนอาหารน่ะ อาหารที่มีรสชาติสุดยอดเลย เรากินมื้อแรกอื้อหือยอดเยี่ยมเลย มื้อสอง มื้อสาม มื้อสี่ มื้อห้า มื้อร้อย มื้อพัน มื้อแสน สุดยอดขนาดไหนก็ไม่อร่อยล่ะโว้ย ไม่อร่อย มันชินชา ให้มีราคาขนาดไหนมันก็ไม่อร่อย เพราะมันกินจนคุ้นเคย

ปีติก็เหมือนกัน ทุกคนยังบอกเลย อู้หูเมื่อก่อนปีติเกิดมากมันดีมาก เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย มี แต่จิตใจเรามันคุ้นเคยแล้ว คุ้นเคยแล้ว พอคุ้นเคยเห็นไหม เนี่ย รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง แต่รสของธรรมมันก็ต้องรสที่ลึกซึ้งกว่า รสที่มันปราณีตไปเรื่อย ๆ แล้วเราเกิดมาเป็นคนยังต้องโตเลย หาเงินอยากได้กองเยอะ ๆ แต่เวลาภาวนาปีติไม่ให้ไปเลย จะให้อยู่แค่นั้น แล้วเอ็งไม่เอาอันอื่นอีก เอ็งอยากอันอื่นอีกไหม ไม่ต้องไปผูกมัดกับมันสิ เราไม่ต้องผูกมัดจิตใจเราอยู่กับปีติ จิตใจเรามีเป้าหมายว่าเราอยากจะพ้นจากทุกข์ไหม อยากจะให้จิตสงบไหม ขนิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปนาสมาธิเนี่ย เราต้องผ่านขึ้นไป

อารมณ์อย่างนี้ มันก็เป็นอารมณ์ ใช่ มันมีความสุข เรายอมรับมันมีความสุข ความสุขอย่างนี้จะอยู่กับเราตลอดไปหรือ ความสุขมันไม่อยู่กับเราตลอดไปหรือ กินข้าวตั้งแต่เช้า กินเสร็จแล้วก็หยุดเลยนะ ชาตินี้ไม่กินข้าวอีกแล้ว อิ่มมื้อเดียวจะอยู่ตลอดชีวิตเลย นี่ก็เหมือนกันพอเกิดปีติหนเดียวกูไม่ทำอะไรเลย กูอยู่กับปีติ มันจะไปไหน ปีติเป็นองค์ของฌานน่ะ องค์ของสมาธิ แล้วมันจะก้าวหน้าต่อไป มันจะก้าวหน้า ผิดหวังคิดมีผูกมัด เราไม่ต้องไปผิดหวังกับมัน ผิดหวังเพราะเรายังไม่เข้าใจไง

วันนี้อธิบายให้เข้าใจแล้วว่า ปีติมันต้องพัฒนาของมันขึ้นไป ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ แล้วถ้าเกิดพร้อมกันทั้ง ๕ อย่างนี้ในอารมณ์ของใจ นี่ ปฐมฌาณ คือเริ่มเป็นสมาธิ ตั้งมั่น พอตั้งมั่นปั๊บ มันมีกำลังของมัน กำลังของมันออกไปใช้ปัญญา ปัญญานี้จะเป็นโลกุตตรธรรม ปัญญานี้ ปัญญาฆ่ากิเลส แล้วถ้าใครทำสมาธิอย่างนี้ได้ อื้มฮืม ๆ มัน อื้มฮืม สะเทือนหัวใจไง คือน้ำตาไหล ทีนี้เราใช้สัญญาอารมณ์กัน ตรึกในธรรมกันอยู่ มันเคยสะเทือนใจจนน้ำตาไหลไหม มันเคยสะเทือนใจให้ขนพองสยองเกล้าไหม มันก็คิดธรรมดานั้นน่ะ

แต่ถ้าเรา นี่ไง การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามีสุตะ จินตะ ภาวนายะ ปัญญามันคนละระดับ คนละลึกซึ้ง เอ็งว่า ศาสนาพุทธ ศาสนาแห่งปัญญา ปัญญา แล้วก็โม้กันปัญญาอย่างนั้นน่ะ เรามันคนพูดอย่างนี้ บอกหมากูยังฉลาดกว่ามึงอีก หมาของกูนี่เรียกเข้ากรง มันพรวดเข้าไปเลย ปล่อยมันวิ่งออกหมดเลย หมากูนี่ทำได้หมดทุกอย่างเลย กูสั่งได้หมดเลย มันฉลาดกว่ามึงอีก มันให้เห็นชัดนะ

พูดถึง ไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจ ถูกกิเลสหลอกไหม กิเลสมันหลอกทุกที่ แม้แต่ปฏิบัติอยู่กิเลสมันก็หลอก กิเลสมันสร้างภาพเลยล่ะ ดูสิ พูดอย่างนี้ มันพูดถึงหลวงตาไง หลวงตาท่านพิจารณาอสุภะ ๆ ๆ อสุภะ พิจารณาจนว่างหมดเลย มันก็บอกว่านี่ เป็นพระอนาคา ทีนี้ท่านเรียนของท่านมา ท่านบอกมันไม่มีเหตุมีผล อย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ไม่เอา โห ถ้าเป็นเรานะ พอเราพิจารณาอสุภะจนมันว่างจนมันไม่มีอะไรเลย เราก็บอกโอ้โฮ เรานี่เป็นพระอนาคา เราต้องเตลิดเปิดเปิงไปแล้ว

หลวงตาท่านไม่เอา มันไม่มีเหตุมีผล ไม่มีเหตุผล เพราะท่านเรียนมหามา ถ้าอย่างนั้นเอาสุภะ เอาความสวยงาม เอาสิ่งที่ถูกใจที่สุดมาแนบกับจิตไว้ ท่านบอกวันแรกมันยังเฉยอยู่นะ พอวันที่ ๓ เนี่ยมันไหว เพราะสิ่งนี้ถูกใจใช่ไหม เอ้า สิ่งที่ถูกใจมากที่สุดแนบกับจิตไว้ พอวันที่ ๓ มันขยับตัว นี่ไง ๆ ไหนว่าไม่มี ไหนว่าไม่มี เห็นไหม นี่ขนาดอนาคามรรคนะ นี่หลวงตาท่านพูดในเทปประจำเลย

อันนี้เราบอกว่า เราปฏิบัติแล้วโดนกิเลสหลอกไหม กิเลสมันหลอกทุกขั้น แม้แต่ขั้นอนาคามันก็หลอก ขั้นอรหันต์มันก็หลอก มันไม่หลอกทำไมหลวงปู่คำดีพอพิจารณาขึ้นไปแล้ว รู้อยู่ว่าจะต้องไปอีกแต่ไปไม่ได้ จุดธูปเลย ขออาราธนามหามาแก้ให้ที พอหลวงตาไปชี้ตรงนี้พลั้วะ เออ รู้แล้ว ๆ ๆ ๆ ๆ รู้แล้วแค่วิธีนะ ยังไม่ได้ทำนะ แต่ถ้ามันไม่รู้น่ะมันไปไม่ได้เลย นี่ ฟังธรรมสิ ธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา มันมีขั้นมีตอนของมัน มีการกระทำของมัน คนที่ผ่านแล้วจะรู้ คนที่ยังไม่เคยผ่านยังไงก็ไม่รู้ แล้วไม่รู้มันก็ดักดานอยู่นั่นนะ ฉะนั้นบอกว่ากิเลสหลอกไหม มันหลอกอยู่แล้ว หลอกทุกขั้น แต่อย่าเสียใจ ใจก็ใจเรา เราก็เป็นคนปฏิบัติเสียเอง กิเลสก็กิเลสเรา ก็เรื่องของในหัวใจเรา มันจะหลอกก็ต้องสู้กับมัน ต้องสู้กับมัน เพราะเราจะเอาชนะเรา เราจะต้องสู้กับมันนะ

ถาม : มารดามีบุตรชายฐานะไม่ค่อยจะดี ปรารถนาให้บุตรได้เล่าเรียนถึงขั้นปริญญาตรี แต่การเงินไม่อำนวย จึงส่งลูกไปเข้าศาสนาคริสต์ ทั้ง ๆ ที่ตนนับถือพุทธศาสนา โดยผู้ที่ถือคริสต์จะได้ศึกษาในโรงเรียนจนจบปริญญาตรี เมื่อจบแล้วต้องมาเผยแผ่คริสตศาสนา มารดาที่ทำอย่างนั้นจะเป็นบาปหรือไม่

ตอบ : ไอ้อย่างนี้เวลาพูด เราพูดธรรมะเนอะ เราไม่พูดให้สะเทือนกัน เราเห็นอย่างนี้เยอะมาก เพราะเราธุดงค์ไปทางเหนือนะ ทางเหนือเนี่ยเป็นพุทธเพราะญาติเขามาปรับทุกข์กับเราเอง ว่าญาติเขาเอาลูกชายไปเข้ากับคริสต์ แล้วเพราะเขาส่งเรียนจบปริญญา ส่งไปเรียนเมืองนอกเลย แล้วมีอย่างนี้เยอะมาก ไอ้อย่างนี้มันเป็นเทคนิคของเขา ในคริสต์ศาสนาเขาจะส่งเสริมกันทางนี้

แล้วเราดูสิ เราส่งลูกเราไปเรียนเซนต์ต่าง ๆเห็นไหม แล้วเรา พูดประสาเราเนอะ แล้วเวลาวัดบวร โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ทำไมต้องลบชื่อวัดออก เวลาเซนต์ ๆ ชอบนัก สี่แสนห้าแสนก็ไปอุดกัน เวลาเทพศิรินทร์นี่มึงไม่เห็นเข้าเลย เนี่ยโดยค่านิยมไง ค่านิยมในการเรียนของเขา แต่นี้พ่อแม่จะบาปไหม มันอยู่ที่เรามองอะไร เราจะมองความสำเร็จทางโลก ถ้ามองความสำเร็จทางโลก เราก็ทำของเรา คิดว่าเพื่ออนาคตของลูกของหลานเรา

แต่สำหรับความคิดของเรานะ เพราะว่าเราเป็นพระใช่ไหม เราเป็นนักบวชใช่ไหม เราพูดถึงนามธรรมทั้งหมด เราบอกเลยจิตวิญญาณกูขายไม่ได้ กูไม่สามารถขายจิตวิญญาณกูได้ จะทุกข์จะยากกูก็ยอมทุกข์ยอมยาก แต่กูไม่สามารถขายจิตวิญญาณได้ ถ้าเอ็งขายจิตวิญญาณของเอ็ง ประสาเรานะ วิญญาณของเอ็งยังขายได้ อย่างเช่น โทษนะ นี่พูดถึงสังคมมันเป็นอย่างนั้น อย่างเช่นเราไปชอบผู้หญิงอย่างนี้ะ แล้วทางศาสนาอื่น อย่างเช่นอิสลาม ทั้งหญิงทั้งชายถ้าแต่งเขา ต้องถือของเขา รักกูก็รักอยู่ แต่กูไม่สามารถขายวิญญาณกูได้ กูขายวิญญาณกูไม่ลง เราเห็นทำกันอย่างนั้น ในใจเราคิดเลยนะ แม้แต่จิตวิญญาณมึงยังขายได้ กูไม่คบ

ทีนี้พูดถึง แต่ถ้าพูดถึงทางโลกใช่ไหม ทางโลกที่เขาเห็นความเจริญน่ะ มันแบบว่าอย่างที่พูดเมื่อกี้ว่าคนเราสูงต่ำแค่ไหน ใช่ ลูกเราได้เรียน มันมี ลูกศิษย์เรานี่แหละ ตอนที่สามีอยู่ ถ้าเขามีกำลังเขาส่งอยู่ แต่พอสามีเกิดอุบัติเหตุกรรมปัจจุบัน ลูกเขาสามคน เขาเข้ามาทางพุทธศาสนาไปหาพระ พระช่วยเขาไม่ได้เลย พอเขาไปหาพวกคริสต์ คริสต์เขารับเลย ส่งไปเรียนนอกหมด แล้วเดี๋ยวนี้กลับมา เดี๋ยวนี้กลับมาเผยแผ่ธรรมะของเขาอยู่ เผยแผ่คริสตศาสนาอยู่ เขาก็พูดกับแม่เขา แม่เอาหนูคนเดียวนะ จบแล้วอย่าทำคนอื่นอีกนะ แต่ในเมื่อเขาจบมาแล้วเขาก็ถือคริสต์อยู่แล้ว เขาไปทางคริสต์นั่นแหละ ทั้งที่ครอบครัวเขาเป็นพุทธ

ไอ้อย่างนี้สังคมมันมีเยอะ เพียงแต่ว่า เวลาคนเรามันทุกข์ยาก หรือเราตกอยู่ในเหตุการณ์ที่เราต้องรับผิดชอบ คิดยังไง นี่พวกโยมใช่ไหม พวกโยมคฤหัสถ์ถ์ก็คิดอย่างหนึ่ง แต่นี่เราบอกแล้วว่าเราเป็นพระ เราเป็นอยู่ในตัวแทนของศีลธรรมเลย เราถึงบอกเราคิดอย่างนี้นะ เราเห็นที่เขาทำกัน เรามีความรู้สึกในใจเรา เราคิดอย่างนี้ประจำ เห็นเขาทำอย่างนั้นไป เราคิดเลย จิตวิญญาณมันยังขายได้อีกเหรอวะ เพราะเราเวลาเราพูดเห็นไหม เรื่องหัวใจสำคัญที่สุด หัวใจสัมผัสเห็นไหม ความรู้สึก หลวงตาก็พูดประจำเรื่องใจสำคัญมาก จิตวิญญาณของเรา เราจะรักษาของมันยังไงให้มันเข้มแข็งขึ้นมา แล้วมึงขายจิตวิญญาณของมึงเนี่ย

แต่ทางโลกเขาไม่ได้ เขาดูจิตวิญญาณเป็นของนามธรรมที่ไม่มี แต่รูปธรรมของเขาสำคัญกว่า การดำรงชีวิตใช่ไหม การดำรงชีวิตของสังคมสำคัญกว่า เขามองต่างมุมกันไง ทางโลกเขามองถึงการดำรงอยู่ของครอบครัวของตระกูลของเขา แต่ถ้าใจเรา นี่เขาบอกว่า ทรัพย์อันละเอียด ๆ ที่เราบอกว่า อริยทรัพย์ ทรัพย์อยู่ที่ไหน ถ้าเข้าถึงตรงนี้นะ หัวใจมันสำคัญมาก แล้วหัวใจทำกันอย่างนี้

ทีนี้ถ้าเราไม่ทำ ดูสิ ใครก็แล้วแต่นะ ถ้าพ่อแม่ให้บวชก็อย่างหนึ่งนะ ไปดูตระกูลที่ไหนที่พ่อแม่ไม่ให้บวช แล้วลูกออกมาบวชสิ โอ้โฮ ลำบากมากนะ ตราหน้าเลยว่าเป็นคนไม่ดี ตราหน้าเลย เราก็โดนอย่างนี้มาเหมือนกัน ตราหน้าเลย สังเกตได้นะ เราสังเกตในวงการพระหรือวงการสังคม ถ้าคนไหนเป็นคนดี คนไหนที่รากฐานดี คนไหนที่ดี มันเป็นความหวังพึ่งของสังคม หวังพึ่งของพ่อแม่ แล้วพ่อแม่ก็หวังพึ่งคนนั้น คนดีจะสร้างมาดีจะเป็นอย่างนั้น เรานี่พ่อแม่หวังพึ่งมาก แล้วพอเรามาบวชเนี่ย พ่อช็อกเลย เหมือนกับว่าสิ่งที่ปรารถนาอยู่น่ะ หมดเลย เราเนี่ย

ฉะนั้นไอ้อย่างนี้เพราะอะไร เพราะเราคิดว่า พ่อแม่เขาเลี้ยงเรามาเขารู้นี่ นิสัยเราเป็นอย่างไร เขารู้เองว่าเรานี่ ใครจะสืบทอดตระกูลกันไป เขาไม่หวังพึ่งใครเลย เขาหวังเราคนเดียว แล้วเราดันออกมาบวช พอบวชมาแล้ว ไม่รู้จะทำไว้ให้ใครเลย เจ็บปวดไหม นี้พูดถึงความรู้สึกทางโลกนะ เราเองคนหนึ่ง เราก็อยู่ในเหตุการณ์อย่างนี้มา คิดดูสิว่าเวลาเราออกมา ทางครอบครัวมีความคิดอย่างไร สืบได้ คนโพธารามแค่นี้เอง สืบได้ แล้วเวลาพูดเนี่ย คนบ้านเราทั้งนั้นน่ะ แล้วเราโตมาที่นี่ เราโตมาจากที่นี่ เขาเห็นการกระทำของเราอยู่

ทีนี้พอจะบอกว่า นี่ไง เราบอกว่ามันเป็นของเดิม ของเดิมคือสิ่งที่สร้างมา เพราะมันจริง มันจริงมาตั้งแต่ยังไม่บวช พอยิ่งบวชมา เวลาวงการพระ ทำอะไร ทำอะไร บอก มึงบอกกูมา จะทำอะไรมึงบอกกูมา จะภาวนาเรื่องอะไรบอกกูมา พิสูจน์กันเลย เต็มที่ ๆ ๆ บวชปั๊บไม่นอนเลย ๓ เดือน เนสัชชิกตลอด ไม่นอนเลย ซัดกับแม่งเลย เอาจริงเอาจังไง นี้ไงแล้วพอมาบอกว่า อยู่เฉย ๆ นอนหลับตื่นขึ้นมาเป็นพระอรหันต์น่ะ กูรับไม่ได้ ไม่เคยมี ไม่เคยมี

ถาม : จะทำสมาธิในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

ตอบ : วิถีชีวิตแบบคนเมือง หลวงปู่ฝั้นน่ะ บอกมาตั้งแต่โยมยังไม่เกิดมั้งเนี่ย หลวงปู่ฝั้นบอกทำสมาธิเนี่ย นั่งรถก็พุทโธ ไปไหนก็พุทโธ เวลาบอกเราทำอะไรไม่ได้เลย นี่วิถีชีวิตของคนเมือง ทำอะไรไม่ได้เลย มึงอย่าหายใจนะ มึงเย็บปลายจมูกไว้ให้หมดเลย แล้วก็อยู่ให้ได้ หลวงปู่ฝั้นท่านพูดประชดน่ะเจ็บมาก ลมหายใจทิ้งเปล่า ๆ หายใจกันโดยที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย หายใจเข้าก็นึกพุท หายใจออกก็นึกโธ สบายมาก ชีวิตประจำวัน เอ็งไม่หายใจเหรอ เอ็งหายใจหรือเปล่า หายใจ หายใจทำไมไม่ตั้งสติไว้กับลมของเอ็ง ก็เท่านั้น ของง่ายๆ

นี้บอกไม่ได้ ถ้าพุทโธแล้วทำงานไม่ได้ แต่ถ้าเคลื่อนไหวพร้อมเนี่ยทำงานได้ มันก็เหมือนกันแหละ แหม อย่าใช้โวหาร ถ้ากำหนดพุทโธทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ารู้สึกตัวทั่วพร้อมนี่ทำได้ ตลกไหม ลมหายใจเนี่ยทำได้ ชีวิตประจำวันไง เราทำงานของเราในชีวิตประจำวัน ถ้ามีสตินะ มีพุทโธ มีสตินะอยู่กับลมหายใจ อยู่กับลมหายใจ ถ้าเรามีลมหายใจ

แต่ถ้าทำงานอยู่กับงาน หน้าที่การงานนั้นจะดีมาก มีเด็กหลายคนมาก เวลาฟังเทศน์เราตอนเช้าๆนี้ เราก็พูดไปประสาเราเนี่ย แล้วเขาก็เรียนหนังสือดีขึ้น จนมีหน้าที่การงานนะ เขามาหาเราบอกว่า เมื่อก่อนฟังหลวงพ่อน่ะ โอ้ อย่างนั้นเลย แล้วไปเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวนี้ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ หลายคนมาก ต่อหน้ามันไม่ยอมบอกนะ เวลามันทำ เวลามันจบแล้วมันทำงานแล้วค่อยมาบอก เพราะอะไร ก็เตือนนี่ไง

เอ็งดูหนังสือนะ เอ็งดูหนังสือ ตะบี้ตะบันดูเข้าไป ยิ่งดูยิ่งเบลอ แต่ถ้าเอ็งปล่อยวางหนังสือไว้นะ แล้วทำความสงบของใจแล้วกลับมาดูทีหลังนะ จะดูเล็กดูน้อยแต่ดูแล้วเข้าใจ นี้ตะบี้ตะบันนะ น่ะ อู้หูเขาดูหนังสือ กูก็หนีบมึงก็หนีบ กูก็หนีบนะ โห หนังสือ จะเอาหนังสือกองทับเลยนะ อ่านหมดเลยนะ รู้อะไรไหม ลืมหมดเลย เข้าไปสอบ จำอะไรไม่ได้ ไม่ได้อ่านมากอ่านน้อย ทำความเข้าใจกับมัน ไอ้ตรงทำความเข้าใจกับมัน จะเล็กจะน้อยก็ยังดีกว่าอ่านทั้งหมดแล้วไม่รู้เรื่อง ไปไหนจะเน้นตรงนี้มาก

นี่ชีวิตประจำวันไง เราคิดว่าจะได้มาก จะรีบทำ จะรีบทำ จะรีบจะเอา จะรีบ จะเอาให้เยอะ จะเอาให้เยอะ จะได้ทำได้มาก ไม่ได้อะไรเลย ได้มาผลงานมันก็ไม่ดีนะ ตั้งสติไว้ ทำตามหน้าที่ตามกำลังเรานี่แหละ ได้มากได้น้อย ถ้ามีสติทำทุกอย่างมันจะดีหมด ทุกอย่างทำแล้วประสบความสำเร็จ จะดีไปหมด เนี่ยลูกศิษย์มาคุยกันเยอะ ขนาดที่ว่าจะฆ่าตัวตาย จะอะไรกันมาเลยนะ มาหาเนี่ย ต้องทำสถิติผลงานบ้าง ว่าได้ช่วยคนไว้เท่าไหร่ เขามาสารภาพเองนะ เขามาพูดให้ฟังเอง เขาพูดของเขาเอง

ถาม : เมื่อจิตสงบในขณะที่ฟังธรรม เมื่อนิ่งสงบ ตาไปเห็นภาพ เห็นภาพบิดเบือนจากความเป็นจริง เช่น เห็นเป็นเด็ก เห็นเป็นโครงกระดูก ตรงนี้เกิดจากจิตที่ไปจินตนาการคิดเองใช่หรือไม่ พอลองตั้งจิตใหม่ ตัดภาพเดิมทิ้ง ก็ทำได้สักพัก จิตก็ไปเห็นภาพบิดเบือนอีก ตอนนี้พยายามกลับมาที่พุทโธ ภาพกลับเป็นปกติ สักพักนิ่งอยู่ก็กลับเป็นใหม่เมื่อไม่ได้บริกรรมพุทโธ ตรงนี้จะแก้ไขได้ยังไงค่ะ เวลาฟังเทศน์ กำลังฟังธรรมเทศนาให้พุทโธตลอดเวลา จะแก้ไขได้ไหมค่ะ

ตอบ : เวลาฟังเทศน์ทำความเข้าใจนะ เห็นภาพที่บิดเบือน เห็นสิ่งต่างๆแล้วแต่ กรณีอย่างนี้ อภิธรรมเขาเอาไปข่มขี่เลย บอกพุทโธไม่ดี พุทโธเห็นนิมิต พุทโธเห็นสิ่งต่าง ๆ นะ แต่ต้องกลับมาใช้ปัญญาสายตรงแล้วจะไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นอะไรเลยคือไม่ได้อะไรเลยไง ไม่เห็นอะไรเลยก็คือไม่ให้จิตได้เห็นอะไรเลย แต่ถ้าจิตกำหนดพุทโธ ๆ ไป ฟังเทศน์ เนี่ย จิตสงบไป ตาเห็นภาพที่บิดเบือน จิตสงบไป คำว่าจิตสงบไป ถ้าจิตไม่สงบไป จิตไม่สงบไปมันก็เป็นปกติ

อย่างเรานี่ มองหน้ากันสิ มองภาพสิ ก็คือภาพนั้นน่ะ แต่ถ้าจิตมันสงบนะ จิตมันมีภาพนะ มองภาพที่เห็นเนี่ย ภาพนี้มันเคลื่อนไหว ภาพนี้เปลี่ยนแปลงนะ เพราะมันเห็นจากตาของใจ เพราะตาของใจเนี่ยมันผ่านออกมาจาก เนี่ยตาของใจ ใจเนี่ยมันผ่านออกมาจากดวงตา ภาพที่เห็นอยู่มันจะแตกต่าง มันแตกต่างเพราะอะไร แตกต่างเพราะจิต เพราะจิตมันแตกต่าง แต่ถ้ามันปกติ จิตไม่แตกต่าง จิตปกติ มองมาข้างหลัง มันก็เห็นข้างฝาทั้งนั้นน่ะ ไม่เห็นอะไร แกก็ฟังปกติ จิตปกติ ไง นี้ไง เขาบอกไม่เป็นไรไง ใช้ปัญญาสายตรงแล้วมันจะไม่มีภาพบิดเบือน ไม่มีอะไรเลย

แต่พอจิตมันเปลี่ยนแปลง พอจิตมัน จิตมันเริ่มมีสมาธิ จิตมันมีหลักของมันไป พอมองภาพ ภาพมันแตกต่าง ใช่ไหม มันจะบิดเบือนไม่บิดเบือนนี้มันอีกกรณีหนึ่ง การเห็นนี้ การเห็นนิมิตโดยจิต จิตที่มันเห็น แต่เห็นแล้วถ้ามันบิดเบือน เห็นบิดเบือน เห็นแล้วเป็นโทษ บางทีเห็นแล้วเป็นโทษ คือ ไปเห็นแล้วตกใจ แต่เห็นแล้วเป็นคุณล่ะ เห็นแล้วเป็นคุณเนี่ยเห็นไหม ดูสิแม่ชีแก้ว ภาวนาไปต้องเห็นทุกอย่างเลย ถ้าพอภาวนาไป ถ้าไม่เห็นปั๊บถือว่าไม่ได้ภาวนา นั้นก็ผิดอีก เพราะส่งออก

เพราะอะไร เพราะเวลาจิตมันสงบแล้วถึงไปเห็น เราพาไปเห็นอะไร ถ้าเราเห็นจิตมันเห็น เพราะจิตเห็นมันออกไปจากจิต จิตมันไปเห็น ถ้าจิตเห็นก็คือพลังงานที่ส่งออกไป หลวงตาท่านบอกให้ออกก็ได้ไม่ออกก็ได้ได้ไหม เริ่มต้นนะ แบ่งคนละครี่งก่อน ถ้าคนละครึ่งก่อน พอจิตสงบแล้วไม่ออกมันก็ไม่เห็นนิมิตเห็นไหม พอจิตออกเห็นนิมิต นี้พอจิตเห็นนิมิต พอนิมิตน่ะมันบิดเบือน พอกลับมาพุทโธ ๆ นะ อาจจะนิ่งได้ อาจจะแก้ไขได้ การแก้ไขได้นี่

เราจะบอกว่า ถ้าเราเป็นอหิวาต์ เราต้องแก้ได้ยังไง เพราะเสียน้ำมาก ถ้าเราเป็นไข้หวัด เราจะรักษายังไง จิตนี้ก็เหมือนกัน จิตนะถ้าจริตนิสัยของจิตที่มันมีรากฐานอย่างนี้ อย่างที่ผลของจิตมันเป็นอย่างนี้ แล้วกำหนดพุทโธไปแล้ว จิตมันเห็นภาพบิดเบือนอย่างนี้ ให้กำหนดนามรูปกำหนดทางวิปัสนาสายตรง มันก็เห็นภาพเหมือนกัน แต่พวกเขาที่ไม่เห็นภาพ เพราะอะไร เพราะเขาไม่ยอมให้จิตลงไง เขาไม่ให้จิตลงแบบอยู่ปกติมันก็ไม่เห็นภาพ

ฉะนั้น การแก้เนี่ย คำว่ากลับมาพุทโธตลอดเวลาได้ไหม ถ้ากลับมาพุทโธ ๆ เนี่ย กลับมาพุทโธตลอดเวลา แล้วถ้าจิตมันสงบไปมากกว่านี้ไง มันสงบเข้าอีกระดับหนึ่ง มันละเอียดเข้าไปอีกกว่านี้ มันจะปล่อยอันนี้ได้ แต่ถ้ามันปล่อยไม่ได้เห็นไหม มันปล่อยอย่างนี้ไม่ได้ แล้วมันภาพบิดเบือน เราก็พุทโธของเราไปเรื่อย ๆ พุทโธของเราไปเรื่อย ๆ เนี่ย สิ่งที่เห็นคือ เราเปรียบเหมือนรถ รถเนี่ยถ้าล้อมันไม่หมุนนะ เข็มไมล์ขึ้นไม่ได้ รถถ้าเข็มไมล์มันจะกระดิกต่อเมื่อล้อมันหมุน

จิต จิตถ้าปกติเนี่ย เหมือนรถมันไม่ได้เคลื่อนที่ ไม่เห็นอะไรหรอก รถไม่เคลื่อนที่เข็มไมล์กระดิกไม่ได้ จิตไม่กำหนดพุทโธ จิตไม่ลงสมาธิ จะเห็นภาพบิดเบือนไม่ได้ เห็นนิมิตไม่ได้ นี้การเห็นนิมิตน่ะคือจิตมันเปลี่ยนแปลงของมัน ทีนี้การเปลี่ยนแปลงของมัน มันก็อยู่ที่จิตใช่ไหม รถหมุน ถ้ารถหมุน คนขับรถดีมันก็พาไปใช่ไหม รถ ล้อรถหมุนลงเหวมันก็ตกเหวไปเลยสิ

พอไปเห็นภาพไง เห็นภาพเนี่ยถ้ามันเห็นภาพเราแก้ไขมันได้ไหม เห็นภาพ เห็นภาพที่ถูกที่ควรไหม เห็นภาพ เห็นภาพที่บางอย่างนี้ พอไปเห็นภาพที่มันบิดเบือน ภาพที่ไม่น่าดูเนี่ย กลับมาที่พุทโธอย่างเดียว เห็นเพราะจิตเห็น กลับมาที่ตัวจิตเห็นได้ไง ลืมตาก็เห็นเรา หลับตาไม่เห็นอะไรเลย กลับไปที่จิต จิตมัน ถ้าจิตมันเห็นตัวมันเอง สงบปั๊บ ไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีสิ่งใดเลย แก้ได้ ๆ กลับมา

นี่คำถามนี้ พอมันเริ่มปฏิบัติไป ประสาเราว่า ยังลังเล จะเดินหน้าก็ไม่ถูก จะถอยหลังก็ไม่ใช่ มันลังเล พอลังเลปั๊บสติมันไม่มั่นคงไง เอาให้มั่นคง จะทำอย่างใดทำอย่างหนี่ง แล้วพิสูจน์ การปฏิบัติ ปัจจัตตังรู้เฉพาะตน ต้องพิสูจน์ด้วยเรา เอ้า บัดนี้พุทโธ ๆ ๆ ๆ สู้กับมันเลย ต้องพิสูจน์กัน แล้วพอพิสูจน์ปั๊บ พอพิสูจน์ปั๊บ เอ้อ อย่างนี้หาย อย่างนี้ไม่หาย อย่างนี้ปุ๊บ วันหลังสอนคนอื่นได้เลย เพราะอะไร เพราะรู้ สันทิฏฐิโก รู้เฉพาะตน แต่ถ้าเอ็งไม่รู้ก็ยังงงอยู่ นี่ ค่อย ๆ ทำไป ค่อยๆทำไป แก้ได้ เห็นภาพที่บิด เนี่ยเห็นภาพที่บิดเบือน เพราะจิตสงบแล้วเห็นภาพ เห็นภาพไม่เป็นไร

กลับไปละเมื่อวานน่ะ มาร้องไห้อยู่สองวัน เห็นทุกวัน วันหนี่งก็เห็นกายแล้วนั่งร้องไห้ แล้วมานั่งร้องไห้ เขาบอกว่า เขามากราบเราใหญ่เลย โห จิตมันดีอย่างนั้นมันเห็นอย่างนี้ แต่ก่อนน่ะไปดูจิตมาสามปีไม่ได้อะไรเลย แล้วก็มาทำเนี่ย เราบอกอย่างนี้ดีมากเลย พอเอ็งดูจิตอารมณ์มันก็เป็นอย่างหนี่งใช่ไหม พอจิตเอ็งสงบเอ็งเห็นอย่างนี้ก็อีกอย่างใช่ไหม แล้วอารมณ์มันลึกซึ้งกว่า อารมณ์ที่มันดูดดื่มกว่า อารมณ์ที่ลึกซึ้งดูดดื่มเห็นไหม อารมณ์ของจิต อารมณ์ที่มันออกมาจากจิต แต่เวลาเราใช้สัญญาอารมณ์มันออกจากความคิด มันเป็นอย่างนั้น แล้วเอ็งก็ทำกันไปเห็นไหม เนี่ยอย่างนี้ดี ดีที่ว่าตัวเองได้พิสูจน์เองไง เวลาตัวเองไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ เวลาตัวเองใช่ขึ้นมามันก็พิสูจน์ได้ กลับไปแล้ว อันนี้แก้เรื่องภาพบิดเบี้ยวนะ

ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อคะ การที่เราเตรียมของใส่บาตร แล้วมดมากินอาหารนั้นหรือหนูจะกินถือว่าเป็นเดนหรือไม่ กราบขอบคุณคะ

ตอบ : ไม่เป็นเดน ไม่เป็นเดน ไม่เป็นเดนแต่มันแบบว่ามันเสีย มันแบบ แล้วหนูมากิน เราก็ตัดตรงนั้นทิ้งไป มันเป็นเดนน่ะ คำว่าเป็นเดนเห็นไหม มนุษย์ที่กินเดน คนไม่กินเดน อย่างโยมเนี่ยมนุษย์ที่กินเดน อ้าว พระฉันเหลือแล้ว โยมถึงได้กิน กินเดนหมายถึงของเหลือ กินเดนนี้มันเป็น คำว่าเดนเนี่ยเขาถึงไม่ให้กินเพราะว่าเขาถือ

อย่างพระเรา ห้ามเนี่ย ของที่เป็นเดน ของไหว้แล้วมาถวายพระไม่ได้ ถวายพระไม่ได้เพราะอะไร เพราะทำให้พระ พระที่เคารพบูชาของเราต่ำต้อย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในเมื่อภิกษุใช่ไหม ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ภิกษุที่เคารพบูชาป็นครูบาอาจารย์ของเรา ของเหลือ ของไหว้ ของต่าง ๆ แล้วเป็นเดนอย่างนี้ะ ไม่ได้ อย่างพระ ภิกษุนะ เราเป็นภิกษุไข้ คนที่เป็นภิกษุไข้ปั๊บมีคนมาอุปัฏฐากมาก เนี่ยเรา เพราะภิกษุไข้ฉันอาหารไม่ได้หรอก เนี่ย ภิกษุห้ามฉัน ห้ามฉันของเป็นเดนเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ภิกษุไข้ พระพุทธเจ้าฉลาดขนาดนั้นนะ เพราะภิกษุไข้น่ะอาหารมันเยอะ แล้วถ้ากินเดน กินเดนไม่ได้ก็เททิ้งไง มันก็ต้องให้คนอื่นไปใช่ไหม แต่ถ้ามัน พระป่วยฉันไม่หมดเนี่ย ไอ้พระต่อไปฉันได้

เป็นเดนของที่เหมือนเดน ของที่เป็นเดนนะ อาหารที่เราตักเห็นไหมตอนเช้าเนี่ย อาหารที่เราตัก เป็นเดนไหม ไม่เป็นเดน เราตักแล้วก็ส่งพระเห็นไหม พระก็ตักต่อไป แต่ถ้าเราใช้ช้อนที่เรากินแล้ว มันเปื้อนด้วยน้ำลายของเรา แล้วเราเอาช้อน ไม่ใช่ช้อนกลางช้อนส่วนตัว ตักอาหารนั้น ด้วยน้ำลาย อามิสที่เกิดน้ำลายของเรา ด้วยสิ่งที่เรากินของเรา นั้นเหลือเดน เป็นเดนแล้ว เป็นเดนคือกินที่ของที่เหลือ ของที่เหลือ เพราะเราเนี่ยเรากินใช่ไหม เอาช้อนเนี่ยเราใส่ปาก แล้วช้อนเราเนี่ย พอมีแกงมาทั้งหม้อเลย ก็เอาช้อนนี้ตักแกงใส่บาตรเราเลย พอเลื่อนไปองค์ที่สองนะ เป็นเดน เป็นเดนเป็นอาบัติหมดเลย เห็นไหมเวลาถวายพระมา ถ้าพระฉันแล้ว พระต้องล้างช้อนก่อน เพราะองค์แรกไม่เป็นไร เพราะเป็นขององค์แรก องค์ที่สองเดน ของเหลือเดน ภิกษุที่เป็นเดน

ทีนี้หนูหรือมด มันกินอยู่ข้างนอกเราตักทิ้งไป มันไม่ใช่ ไม่ใช่ ธรรมวินัยบังคับภิกษุ บังคับพวกเรา บังคับพระ บังคับโยมด้วย เพราะโยมจะอุปัฏฐากพระต้องเข้าใจเรื่องธรรมวินัย เห็นไหม เวลาบอกว่ากัปปิ โอ้ยกะปิอยู่ในครัวไม่ได้เอามาค่ะ บอกกัปปิ ไม่ใช่ เขาบอกให้ กัปปิยังกโลหิ ตะกี้พูดแทรก กะปิก็อยู่ที่ครัวค่ะ ลืมเอามา เห็นไหมเพราะเราไม่เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจมันก็ไม่เป็นไรเพราะคนมาใหม่ใช่ไหม เราต้องค่อย ๆ บอกกัน ต้องฝึก ต้องฝึกต้องหัดเพราะเราจะอุปัฏฐาก

เพราะเราธุดงค์ไปนะ เราธุดงค์ไปทางเชียงใหม่ ขึ้นไปทางเชียงใหม่เชียงราย ถ้าไปไหนที่หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์เคยมานะ อยู่สบาย ๆ คือเขาก็ไม่ค่อยยุ่ง เขาก็แบบว่าไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่หรอก ไม่เต็มใจหรือไม่เขาไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอพูดกันรู้เรื่อง แต่ถ้าไปที่ไหนที่หลวงปู่มั่นไม่เคยไปนะ โอ้โฮ ตายเลย อะเฮอะเฮิ่ม ไอ้ข้างในก็ตอบออกมาว่า อะเฮอะเฮิ่มฮึ่ม รอไปอีกชั่วโมงหนึ่ง อะฮึ่มเสร็จนะ แหม หวีผมแต่งตัวอยู่นั่นน่ะ เพราะประเพณีของทางเชียงใหม่ ทางเนี่ยเขาจะตีฆ้อง เขาจะตีฆ้องของเขา พระจะมาบิณฑบาต เขาเตรียมตัวพร้อมมาข้างล่าง แล้วมาใส่ทีเดียวพร้อมกัน เขาจะไม่บิณฑบาตอย่างพวกเรา

แต่พวกเราไปมันเป็นพระป่า เราไม่มีอย่างนั้น ไม่มี ไม่มีใครไปบอกก่อน พระมาแล้ว พระมาแล้วน่ะ ให้มาใส่บาตร เราไป เราไปของเรา เนี่ยมันธรรมวินัย อยู่ที่ประเพณีวัฒนธรรมนะ ธุดงค์ไปมันจะเห็นเรื่องแบบนี้มาก ฉะนั้น หนูมันกินอย่างนี้ หนูมันกินอย่างนี้ เพราะมันเป็นเรื่องสุดวิสัยนะ แต่ถ้าเรารักษาไว้ คำว่า ที่เราพูดนี้ ไม่ใช่ว่าจะเอาอาหารไปตั้งให้หนูกินแล้วถวายพระนะ ไอ้นี่มันพูด คล้าย ๆ วันหลังก็ตั้งเลย อาหารหนูเหนอมดกินตามสบายเลย แล้วค่อยมาถวายพระทีหลัง อันนี้มันพูดถึงเห็นสุดวิสัย เหตุสุดวิสัย มดมันมากินหนูมันมากินใช่ไหม เราก็แก้ไขของเรา

หลวงปู่ขาว เราไม่ได้ยินมากับหูนะ อันนี้มันก็ฟังแปลก ๆ อยู่ เห็นว่าพระถามหลวงปู่ขาวว่า เราอยู่ในป่า แล้วเราบิณฑบาตมาเป็นข้าวเหนียว แล้วเราบิณฑบาตอยู่ พอถึงเวลามันมีความผิดพลาด บาตรนี้คว่ำลงไป ข้าวเหนียวนี้ตกกับดินเนี่ยให้ทำยังไง หลวงปู่ขาวก็บอกให้หยิบข้าวเหนียวนี้ขึ้นมาสิ แล้วก็ใส่บาตรของเราไปยังงั้นน่ะ แล้วฉันข้างบนที่มันไม่มีดินปนน่ะ ตกลงไปกับดินเลยเนี่ยนะ เอาขึ้นมาใส่บาตร เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่ามันอยู่ในป่านะ แล้วอย่างนี้มันอะไรนะ เป็นบังสกุลได้

ธรรมวินัยเมื่อก่อนเวลาข้าวยากหมากแพงนะ พระเนี่ยเข้าไปในป่าเห็นไหมม่วงหยิบมะม่วงได้ แล้วเดินกลับมาเจอคนที่ไหนวาง แล้วให้เขาประเคนได้ พระพุทธเจ้าเนี่ย ธรรมวินัยพระพุทธเจ้าเนี่ยทำให้มันง่ายที่สุดไง ทีนี้ประเพณี ฉัพรรคีย์หรือคนน่ะ โทษนะ คนมันหยาบ คนมันหยาบเอง ธรรมวินัยถึงต้องบังคับ ๆ ๆ บังคับไป เพราะอะไร มันเป็นโลกวัชชะ โลกเขาติเตียนไง เนี่ยมันมีบัญญัติ อนุบัญญัติ ไปดูวินัยสิ บังคับ ๆ บังคับไปเรื่อยเลย แต่จริง ๆ นะพระพุทธเจ้าจะให้สะดวกเรียบง่ายที่สุดว่าอย่างนั้นเถอะ ให้เรียบง่าย

ทีนี้พอมันเรียบง่าย อย่างเช่นของเป็นเดน เป็นเดนเนี่ย มันเกี่ยวกับเชื้อโรคนะ มันเกี่ยวกับเชื้อโรคมันเกี่ยวกับทุก ๆ อย่าง ฉะนั้นเวลา เนี่ยการขบฉันน่ะ เราไม่อยากวิจารณ์ เพราะคณะโภชนะการฉันร่วมวงเป็นคณะโภชนะอยู่ในพระไตรปิฎกชัด ๆ เลย แล้วอย่างการฉันของเราเป็นส่วนบุคคลตักใส่บาตรเห็นไหม ภิกษุเนี่ยนะห้ามทำตัวเหมือนคฤหัสถ์เขา ที่คฤหัสถ์ทำได้ภิกษุห้ามทำหมด แม้แต่การล้อมวงกินกันอย่างนั้น เดี๋ยวนี้แม่งนั่งโต๊ะจีนกระดิกเท้าเลยนะ กูเห็นแล้วกูจะอ้วก

พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้อย่างนั้นนะ ที่โยมทำกันน่ะ ห้ามพระทำตาม พระกับโยมต้องแยกกันชัดเจน ไม่ให้ทำเหมือนโยม ไม่งั้นจะมีสมณสารูปเหรอ พระต้องเรียบร้อย อย่างเรานี้ไม่ใช้พระหรอก พูดแรงกว่าโยมอีก อันนี้มันเวลามันแสดงธรรม ไม่เกี่ยวกิริยามารยาท เวลาบันลือสีหนาท เวลาบันลือสีหนาทน่ะ มันจะกังวาน แต่บอกวินัยผิด วินัยผิดวินัยมึงก็ไม่ต้องทำ กูจะเย็บปากกูทิ้งเดี๋ยวนี้ นี่พูดถึงของเป็นเดนนะ เป็นเดนเนี่ย พระพุทธเจ้าสอนให้เรียบง่าย แต่พวกเราไปเกร็งกันเอง

อย่างเช่นของนี่เห็นไหม มีอยู่บางเที่ยวเนี่ย พระอานนท์ มันมีพวกนักบวชนอกศาสนามาที่วัด พระอานนท์ให้อาหารไป เขาไปโฆษณาว่าพระอานนท์ศรัทธาเขา พระอานนท์ให้อาหารเขา พระพุทธเจ้าเลยบัญญัติไง ว่าเราเนี่ยห้ามเอาอาหารของเราให้นักบวชนอกศาสนานะ ถ้าให้นักบวชนอกศาสนาเนี่ย พระอานนท์โดนมาแล้ว พอเอาอาหารเนี่ย อาหารเราเยอะใช่ไหม เห็นนักบวชมาก็สงสารก็ให้ไป เขาไปโฆษณาเลย บอกเนี่ยศาสนาพุทธยังยอมจำนนกับฉันเลย ศาสนาพุทธเห็นฉันเป็นอาจารย์เลย เนี่ยบัญญัติห้าม เพราะมันมีเหตุไง มันมีเหตุที่คนเขาเอาไปใช้ เอาไปหาผลประโยชน์ พระพุทธเจ้าจึงห้ามไว้ ห้ามไว้

ฉะนั้นของที่เป็นเดนก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าห้ามไว้เพื่อไม่ให้พระทำผิดพลาด แต่สำหรับโยม เราก็เคารพบูชาน่ะ มันเป็นเปรต เปรตของพระเจ้าพิมพิสารเห็นไหม ที่ญาติเป็นเปรต พอเป็นเปรต พอพระพุทธเจ้าเกิดเข้ามาจะรอทุกทีเลย ไม่มาสักที ทีนี้พอคราวนี้พระเจ้าพิมพิศาลมาทำบุญกับพระพุทธเจ้าแล้ว ฝัน โอ้โฮ เปรตมันมา ไม่ใช่ฝันนะ เห็นเลยบนหน้าต่างที่ว่าในพระไตรปิฎก ไปถามพระพุทธเจ้าว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ก็ญาติของเธอเอง แล้วทำยังไง ก็ต้องทำสังฆทาน พอทำสังฆทานเสร็จ โหย ยังมาอีก ถามพระพุทธเจ้าอีกว่าเป็นเพราะเหตุใด นี่ไง ตรงเนี่ยคนเขากลัวกันมาก ตรงที่ว่าเวลาทำอาหารแม่ครัวชิมอาหาร ตักมากินก่อนไง เกิดเป็นเปรตหมดเลย

อันนี้เวลาเราทำอาหารใช่ไหม เราก็ตักแบ่งออกมาสิ แล้วเวลาเราทำอาหาร เรากลัวผิดหมดเลยนะ กลัวจะเป็นเปรตหมดเลย แล้วเวลาเอ็งไปซื้อที่ร้านข้าวแกงเอ็งว่ามันสะอาดไหม เอ็งว่ามัน มันกินแล้วกินอีกไหม บางทีเหลือก้นจานมันเอาไปเทใส่หม้อก็ได้ ของอันนี้เราก็ไม่รู้ เอ็งไม่รู้ทั้งนั้น พอรู้แล้วเกร็งไปหมดเลย ถ้าอะไรไม่รู้น่ะ หูย ซื้อมาเนี่ยของเหลือเมื่อวานน่ะ เหลือเขาจนทิ้งแล้ว เขาซื้อมาใส่กล่องใหม่ โอ้โฮอันนี้ อันนี้ใหม่เอี่ยมเลยสด ๆ ร้อน ๆ เพราะเราไม่รู้ไง สิ่งที่เราไม่รู้ สิ่งที่สุดวิสัย เราพยายามจะไม่ให้มีผิดพลาดนั่นแหละ

ถ้าเราจะทำแบบว่าจะไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเลยเนี่ย เอ็งจะรู้ได้ไง ไม่มีเจตนาเนี่ยกรรมมันก็เบาไป ไอ้เรื่องเดนเนี่ยนะ มันเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า มันเป็นการฝึกสติด้วย ถ้าพูดถึงพระนะ พระต้องละเอียดอ่อน ดูเวลาความเป็นอยู่ของพระสิ แก้วน้ำเนี่ยฉันด้วยกันไม่ได้ เพราะเวลาใส่ปากปั๊บมันเหลือเดน เป็นเดนของคนอื่นแล้ว แก้วน้ำเห็นไหมพระฉันข้าวเสร็จแล้วต้องเทน้ำออก อะไรต่ออะไรเนี่ย เพราะอะไรมันเป็นการฝึกสติไง ธรรมวินัยเนี่ยทำให้เราฝึกสติ สติจะมีสมาธิมา สติอ่อนด้อย สมาธิมึงวิ่งหามันไม่เจอ ถ้าสติดีขึ้น เราฝึกสติเราอยู่ในธรรมวินัยอยู่ในระเบียบขึ้นมา เดี๋ยวทำสมาธิ สมาธิจะวิ่งมาหาเรา จะมีสมาธิจะมีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม

อันนี้พระต้องละเอียดอ่อนหน่อยหนึ่ง แต่โยมละเอียดอ่อนได้ก็ดี แต่เราไม่พูดให้เกร็งไง ยิ่งพูดยิ่งเกร็งนะ วันหลังเนี่ย ชาวพุทธพูดมากเลย ศาสนาพุทธนี่ยุ่งมากเลย ทำอะไรก็บาป อะไรก็บาป ไม่ทำดีกว่าเลิกเลย ใคร ๆ เขามาก็บ่นอย่างนี้ พุทธศาสนานี้ยุ่งมาก อะไรก็ผิด อะไรก็ผิด อะไรก็ผิด อะไรก็กรรมก็กรรม กูเลิกดีกว่า นับถือศาสนาผีไง พูดนี้พูดไม่ให้เกร็ง แต่เราต้องศึกษาทำความเข้าใจกับมัน ก็พูดว่าดีทั้งนั้นน่ะ ของดีมันก็ต้องเนี่ย

ถาม : จะแก้ความขี้เกียจได้ยังไงค่ะ

ตอบ : มันก็ตรงข้ามกับขยันก็จบไง แหม จะแก้ขี้เกียจได้ยังไง ไอ้อย่างนี้นะมันอยู่ที่จริตนิสัย มันจริตนิสัยของเราด้วย เราว่าคนขยันหมั่นเพียรเนี่ยนะ เขาทำงานมากพอเขาผ่อนมือเขาว่าเขาขี้เกียจแล้วนะ คนทำงานมือระวิงเลยเนี่ย แล้ววันไหนเขาทำงานปกติน่ะเขาขี้เกียจแล้วนะ ไอ้คำว่าขี้เกียจน่ะขี้เกียจของใคร เราเคยอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ด็อกเตอร์เชาว์เนี่ย เขาไปหาอาจารย์ อาจารย์ก็ถามว่าคุณด็อกเตอร์เชาว์ไม่ทำงานเลยเหรอ โอ้อาจารย์ผมเช็นต์ชื่อคำเดียวนะ ไอ้พวกนั้นหัวปั่นเลย เขาเป็นบอร์ดการไฟฟ้าไง บอร์ดรถไฟ เมื่อก่อนเป็นบอร์ดรถไฟ ท่านบอกว่า ผมเช็นต์ชื่อหน่อยเดียวนะ ไอ้พวกพนักงานมันหัวปั่นเลย คือแค่เขาเซ็นต์ชื่อ งานของเขามีแค่นั้นน่ะ

แล้วใครขี้เกียจล่ะ เขาบอกเขาตอบไง แหม ฟังแล้วมันสะดุ้ง บอกอุ้ย ผมแค่เซ็นต์ชื่อนะ ไอ้พวกนั้นน่ะมันหัวปั่นหมดเลย เพราะสั่งลงไปแล้ว อุ้ยมันชุลมุนชุลเกไปหมดเลย ใครขี้เกียจ นี่พูดอย่างนี้ไม่ใช่พูดให้ขี้เกียจนะ ถ้าพูดงี้ไป โอ้ยเราไม่ขี้เกียจก็เลยนอนจมเลยนะ ทีนี้จะแก้ขี้เกียจจะแก้ยังไง คำว่าขี้เกียจเนี่ย ถ้าเป็นขี้เกียจของเถ้าแก่ เป็นพวกเถ้าแก่พวกเนี่ย เขาขยันหมั่นเพียรมากนะ เขาถึงมีตังค์ของเขามาก แล้วถ้าเขา แค่เขาเสียเวลาไป เขาก็ว่า เพราะเราเจอพวกนี้เยอะ คนที่มีเงินมาก ๆ เนี่ย เขาวิตกกังวลของเขาว่า ตัวเลขเขาไม่เข้าเป้า เราเห็นมาก เงินนี้เยอะมาก แล้วทุกปีต้องเพิ่มเท่านั้นเท่านั้น แล้วถ้าไม่เข้าเป้า โอ้โฮหน้าหมองคล้ำ

เราคิดในใจนะ โง่ฉิบหาย ของมึงก็เยอะแยะอยู่แล้ว คิดแบบโลกไง จริงไหม ว่าธุรกิจของเราไม่เข้าเป้า หน้าหมองคล้ำเลยนะ ไปอมทุกข์ทำไม ก็เงินมึงก็เยอะแยะอยู่แล้ว เราเห็นอยู่เขาคุยกัน ฟังนะ เนี่ยคนร่ำรวยต่าง ๆ เขาก็ไปอีกเรื่องหนึ่งนะ ไอ้เราคนทุกข์คนยากเนี่ย คำว่าขี้เกียจ ขี้เกียจของใครนะ แต่ถ้าแก้ง่าย ๆ เลย ถ้าขี้เกียจก็ขยันซะ หลวงตาท่านพูดบ่อย ไอ้เสื่อขาด เสื่อขาดเนี่ย นอนจนเสื่อขาดเนี่ยขี้เกียจแน่ ๆ เลยล่ะ แต่ถ้านั่งจนเสื่อขาดไม่เป็นไร

ถาม : มีโลกอื่นที่เหมือนกับโลกของเรานี้อีกไหมค่ะ

ตอบ : ตามพระพุทธเจ้าว่าเนี่ย ๗ จักรวาล แล้วนาซ่าเนี่ย มันเห็นดวงอาทิตย์หลายดวง มันเห็นจักรวาลอื่น ๆ เยอะแยะไป นาซ่าเนี่ยเขามีข้อมูลลับของเขาเนี่ย เขาไม่พูดออกมานี่เยอะมาก เขาเห็นจักรวาลถึง ๓ - ๔ จักรวาลแล้วนาซ่าเนี่ย แม้แต่ในพระไตรปิฎกของเราเนี่ย พระพุทธเจ้าพูดถึงการเกิด ตั้งแต่กลละเห็นไหม หยาดแห่งน้ำมันงา เนยใส ตั้งแต่เป็นปัญจสาขา ตั้งแต่กระบวนการของการเกิด ในพระไตร ปิฎกนะ หมออ่านเดี๋ยวนี้หมอยังงง สมัยนั้นไม่มีวิทยาศาสตร์น่ะ สมัยนั้นไม่มีนะ พระพุทธเจ้าบอกไว้หมดเลย แล้วเดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์พิสูจน์หมดเลย เด็กตั้งแต่เกิด เกิดเพราะอะไร เนี่ย จนเดี๋ยวเนี่ยดูสิทำกิฟทำเกิฟกันน่ะ แต่พระพุทธเจ้าน่ะพูดตั้งสองพันกว่าปีมาแล้ว แล้วพระพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก มีเจ็ดจักรวาล ถ้าไม่มีจักรวาล พระโมคคัลลานะหลงทิศไปไหน พระโมคคัลลานะหลงทิศน่ะ พระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเนี่ย ธุดงค์ไงเที่ยวเผยแผ่ธรรมไป ไปพักอยู่ที่บ้านโยมผู้หญิง โยมผู้หญิงเขาเห็นพระโมคคัลลานะ โทษนะ เขากลับมีความสนใจ เขาพยายามจะร่วมนอนกับพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะพระอรหันต์ไม่ยอม ไม่ยอม ๆ นี้เขาก็พยายามเข้ามานะ พยายามเข้ามา ท่านก็บอกว่า เน่า บอกว่า ทวารเน่าหมด มันพลั้งปาก พอพลั้งปากไป โอ้โฮ หนอนเหนินเต็มไปหมดเลย

โอ้สงสารเขานะ ไปกราบพระพุทธเจ้า บอกว่าเนี่ยมันเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกเนี่ยมันกรรม เรื่องของกามเนี่ยมันเป็นโทษมากอย่างนี้ แล้วเนี่ยอยากจะช่วยเขาทำยังไง ก็ผลมันเป็นวิบากเป็นผลไปแล้ว แล้วจะทำยังไงล่ะ นี้กรรมมันใหญ่มาก นี่พระโมคคัลลานะเวลาเก่ง เก่งมากนะ เวลาพูดนะข้าพเจ้าจะพาพวกนี้ไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่ง ข้าพเจ้าจะพลิกง้วนดิน พระโมคคัลลานะเวลาพูด ปัญญาของท่านก็รู้ของท่าน แต่เราพูดเรื่องเนี่ย มันวุฒิภาวะไม่เท่าพระพุทธเจ้าไง ก็ผลแห่งกรรมของเขามากเนี่ย สงสารเขามากเลย จะช่วยเขา

พระพุทธเจ้าบอกว่ากรรมมันหนักมาก กรรมมันใหญ่ ใหญ่แค่ไหน ใหญ่เท่าแผ่นดินน่ะ ใหญ่ก็เท่ากับโลกเนี่ย แผ่นดินขนาดไหนขอดูหน่อย ขอดูหน่อย พระพุทธเจ้าสั่งไว้ นี่มันอยู่ในพระไตรปิฎกนะ พระพุทธเจ้าสั่งไว้เลยนะ ถ้าเหาะไปแล้วเนี่ย ถ้าเห็นโลกเนี่ยเท่าใบมะขามอย่าไปอีกนะ ให้ไปแค่นี้พอ ก็เหาะจากโลกนี้ออกไปเลย ก็เหมือนกับส่งยานอวกาศแหละ เห็นโลกเนี่ย ออกไปดูโลกไงว่าแผ่นดินใหญ่ขนาดไหน มันก็ไปเรื่อย ไปเรื่อย ๆ ๆ ยิ่งไปขนาดไหน มันไปโดยฤทธิ์น่ะ มันน่ะ แว้บหายไปเลย พอหายไปเนี่ยไม่เห็นโลกแล้ว พอไม่เห็นโลกแล้วเนี่ย มันก็ไปเห็นแสงสว่าง ก็พุ่งเข้าไปหาเลยไปอีกโลกหนึ่ง ไปถึงพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง พระพุทธเจ้าบอกเราไม่ใช่สมณโคดม เราไม่ใช่สมณโคดม กำหนดจิตเลยนะ ไปตามลำแสงนี้ ไปตามลำแสงนี้ พอไปตามลำแสงนี้ กำหนดจิตเข้ามาน่ะ กลับมาหาพระพุทธเจ้าได้

พระโมคคัลลานะหลงทิศ ในพระไตรปิฎกเนี่ยมันเป็นบาลีท่อนเดียว แล้วพอมาขยายความอยู่ในธรรมบท อันนี้หลวงปู่ตื้อชอบเทศน์มาก หลวงปู่ตื้อเนี่ยอภิญญาหก พวกที่มีอภิญญาเรื่องอย่างนี้ มันเป็นช่องทางเดียวกัน มันจริตอันเดียวกัน เหมือนน้ำมันเบนซิน น้ำมันโซล่า น้ำมันต่าง ๆ น้ำมันโซล่าเข้ากับน้ำมันโซล่าใช้กันดี น้ำมันเบนซินอยู่กับน้ำมันเบนซิน น้ำอยู่กับน้ำ ผู้ที่มีอภิญญาเนี่ย เรื่องนี้ หลวงปู่ตื้อเนี่ย โมคคัลลานะหลงทิศ โมคคัลลานะหลงทิศ เอามาพูดบ่อยมากเลย คือท่านอธิบายด้วย มันชำนาญไง มันแบบว่า ท่านจะครอบคลุมหมด ท่านอธิบายได้เจ๊าะแจ๊ะ เจ๊าะแจ๊ะ ๆ เพราะงานถนัด

นี่ถามว่าโลกอื่นมีไหม แล้วเอ็งเชื่อไหมล่ะ ตอบแล้วเชื่อไหม ไม่เชื่อเพราะพิสูจน์ไม่ได้ เนี่ยโลกอื่นมีไหม โลกอื่นที่เหมือนเรามีไหมค่ะ ทางนี้วิทยาศาสตร์เขากำลังหากันอยู่ ของอย่างนี้นะ มันทำไม่ได้หรอก เขาหาไม่เจอหรอก หรือเขาหาแล้วเขาทำไม่ได้หรอก ถ้าหาได้หรือเขาทำได้ วิทยาศาสตร์ทำได้หมดนะ กรรมไม่มีหรอก กรรมน่ะมันมี คนเราเกิดมาด้วยวิบาก มันต้องทนทุกข์ตรอมตรมตามแต่กรรมของคน ถ้าวิทยาศาสตร์มาจัดการให้ได้ดีหมด กรรมมันอยู่ที่ไหนวะ กรรมก็ไม่มีน่ะสิ

เราเชื่อเรื่องกรรมเรื่องธรรม เรื่องวิทยาศาสตร์เราฟังไว้ เพราะวิทยาศาสตร์ มันจะกินตัวมันเอง วิทยาศาสตร์จะกินตัวของมันเอง เพราะวิทยาศาสตร์มันยิ่งคิดพัฒนามากขึ้นไปเท่าไหร่ ทรัพยากรมันก็จะหมดไปเท่านั้น สิ่งที่วิทยาศาสตร์ ขยะวิทยาศาสตร์ ขยะเทคโนโลยี จนไม่มีที่จะเก็บ กากนิวเคลียร์ที่เอามาใช้พลังงานกันเพื่อโลก ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหนกัน หาที่นี่ วิทยาศาสตร์มันจะกินตัวมันเอง เพราะมันเป็นแร่ธาตุเป็นสสาร

แต่ถ้าหัวใจเนี่ย หัวใจที่เป็นกิเลส หัวใจที่เป็นธรรม มันชำระกิเลสของมันแล้ว มึงเอากิเลสไปทิ้งไว้ที่ไหน กิเลสเอาไปกองไว้ที่ไหน แล้วใจมันจะหลุดพ้นไปตรงไหน นี่ไง ธรรมไง ถึงบอกว่าเรายืนยันว่ามี แต่มึงพิสูจน์ไม่ได้หรอก แต่ครูบาอาจารย์กูพิสูจน์ได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ นาซ่ามึงหาไป มึงหาไปเลย แต่นี้เราเชื่อเรื่องกรรมไง เพราะเราเกิดในโลกนี้แล้ว เราอยู่กับโลกนี้ กูเข้าใจเรื่องของโลกนี้กูก็พอแล้ว กูไม่ต้องเข้าไปในโลกอื่นหรอก โลกของกู โลกในใจกู เอาให้อยู่ แล้วจบ

ถาม : จากศีลทั้ง ๕ ข้อ ข้อที่ควรให้ตระหนักที่สำคัญคือข้อใดที่สุด

ตอบ : มันขึ้นอยู่นะ ถ้าเป็นผู้ชายเนี่ยเหล้า ถ้าเหล้าเข้าปากนะ ผิดไปหมดเลย ถ้าผู้หญิงกินเหล้าเนี่ยกินเหล้า โกหกมดเท็จ เขาถือว่าศีลห้าพระพุทธเจ้าบอกเลยว่า ศีล ๕ มันเป็นรากฐานของชาวพุทธ ถ้าศีล ๕ นะ ปาณาติปาตามันก็ทำลายจิตใจกันนะ ปาณาติปาตาก็ทำลายกัน อทินนาก็ลักกัน อย่างที่ว่า กาเมสุมิจฉาจารเห็นไหม ถ้าผิด เป็นผู้หญิงเนี่ย ผู้หญิงเห็นไหม ถ้าคู่ครองเรานอกใจ เจ็บปวดมากเลยเห็นไหม เราไม่ใช่เป็นผู้หญิง เราไม่รู้ความรู้สึกอันนั้น เราไม่รู้ แต่เราศึกษาของเราเอง

พอเราอ่านพระไตรปิฎกน่ะ เราถึงซึ้งพระพุทธเจ้ามาก พระพุทธเจ้าบัญญัติศีลของภิกษุณีน่ะ เข้าใจเรื่องผู้หญิงได้ยังไง ศีลของนางภิกษุณีเนี่ยห้ามนั่งขัดสมาธิ เพราะการนั่งขัดสมาธิ ส้นเท้าเราน่ะ อวัยวะของเรามันสัมผัสกัน อาบน้ำห้ามยืนขวางแม่น้ำ เพราะแรงพัดของน้ำ แรงพัดของน้ำน่ะ มันทำให้เกิดความรู้สึกได้ โอ้โฮ พระพุทธเจ้า ทำไมรู้ไปหมดเลย ไปอ่านศีลของภิกษุณีสิ โอ้โฮ โอ้โฮเลย แล้วนะ ปาราชิกของภิกษุณีน่ะ คือความลับของภิกษุณีที่ทำผิดด้วยกัน ปิดบังไว้เป็นปาราชิก ทำผิดด้วยกัน แล้วไม่บอกเนี่ย แต่ถ้าเป็นของพระมันจะเป็นอนิยตะ หรือไงเนี่ย แต่ของภิกษุณีเนี่ย นี่เราพูดถึงความรู้สึกไง

อันนี้ศีลข้อ ๕ ศีลข้อ ๕ เนี่ย เป็นศีลข้อ ๕ หลวงปู่ฝั้นพูดถูกต้องที่สุด ศีล ๕ คือ หัว ๑ แขน ๒ ขา ๒ ศีล ๕ คือคุณสมบัติของมนุษย์ไง หลวงปูฝั้นพูดนะ ซึ้งมากเลย ศีล ๕ คือ ศรีษะ ๑ แขน ๒ ข้าง และขาอีก ๒ ข้าง นี้คือศีล ๕ คือศีล ๕ จำเป็นแก่มนุษย์ไง เพราะมนุษย์ต้องมีแขน ๒ ข้าง ขา ๒ ข้าง และศีรษะ ๑ นี้คือศีล ๕ ศีล ๕ ของหลวงปู่ฝั้น อืม สะใจมาก เพราะฉะนั้นข้อไหนสำคัญที่สุด ข้อไหน มันเป็นที่นิสัย อย่างเช่นเรา เป็นคนหัวราน้ำเมาหัวราน้ำ เราก็บอกว่าเหล้าสำคัญที่สุด อันนี้ขอศีลได้ทุกข้อ ยกเว้นไว้ข้อหนึ่งข้อเมาสุรา ขอเมาเห็นไหม ถ้าใครไหนสำคัญที่สุด มันก็สงวนไว้ไง แต่ถ้าไม่สำคัญที่สุดมันก็ไม่รักษา ศีล ๕ ถึงสำคัญที่สุด เอาศีล ๕ เลย อืม

ถาม : จิตของครูบาอาจารย์ที่นิพพานไปแล้ว ยังสามารถติดต่อกับลูกศิษย์ได้ไหมค่ะ

ตอบ : ได้ ๆ ๆ ทีนี้ติดต่อกับลูกศิษย์ทางไหนล่ะ ติดต่อกับเรา ติดต่อกับเราเป็นยังไง ดูสิ หลวงตาเล่าให้ฟัง บอกมีบุคคลอยู่คนหนึ่ง เขาโกรธ โกรธคนอื่นมาก เขาจะไปฆ่า ฆ่าคู่อาฆาตเขา เขาจะไปฆ่า วันนี้ไปคนนี้ต้องตายเด็ดขาด เพราะแค้นมากเลย เอาปืนไป ต้องยิง ไอ้คนนี้ต้องตายเด็ดขาด เดินไป ๆ หลวงปู่มั่นโผล่มาต่อหน้าเลย หลวงปู่มั่นโผล่มา เป็นรูปหลวงปู่มั่นเลย มึงจะไปตกนรกขุมไหน ได้สติเลยนะ ก้มลงกราบ พอก้มลงกราบเหลียวหน้าขึ้นมา หลวงปู่มั่นหายไปแล้ว หลวงปู่มั่นไม่มี ปืนเนี่ยวางเลย กลับบ้านเลย

มึงจะไปตกนรกขุมไหน ถ้ามึงยิงเขาน่ะ อย่างน้อยก็ต้องหนีหัวปักหัวปำ แล้วลูกเมียมึงล่ะ แล้วถ้ามึงติดคุกล่ะ มึงจะตกนรกหลุมไหน พอเตือนน่ะวางปืนเลย เห็นไหม บอกว่าครูบาอาจารย์ที่นิพพานไปแล้วจะมาหาลูกศิษย์ได้ไหม อันนี้ อันนี้พูดถึง เรื่องนี้ชัดเจนมากนะ เรื่องนี้เป็นวิทยาศาสตร์เลย มีพยานบุคคลหมด แล้วเดี๋ยวนี้ อย่างหลวงปู่มั่น อย่างครูบาอาจารย์ของเรา เวลาจิตสงบเห็นไหม ที่พระพุทธเจ้ามาอนุโมทนาอะไร แล้วเขาพูดทางวิทยาศาสตร์ไง พระอรหันต์หมดแล้วมาได้ยังไง ....มันด่าในประวัติหลวงปู่มั่น ด่าเช็ดเลย ว่าหลวงปู่มั่นสอนให้คนโง่หรือคนฉลาด

หลวงตาท่านก็ตอบเสยหน้ามันกลับเลย ถ้าอย่างนั้นมึงต้องปฏิเสธพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน ถ้าอย่างนั้นต้องปฏิเสธพระรัตนตรัยไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน ว่าไม่มี ถ้ามึงยอบรับว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระพุทธเจ้าก็มี ธรรมะก็มี พระสงฆ์ก็มี พระอรหันต์ก็มี สิ่งที่มีอยู่มาได้ไหม นี่หลวงตาตอบอย่างนี้ แล้วว่ามาได้ไหมล่ะ

โยม : เรื่องเล่าที่ท่านอาจารย์เล่ามาเกิดหลังจากหลวงปู่มั่นเสียชีวิตไปนานหรือยังครับ

หลวงพ่อ : เรื่องเล่าหลวงปู่มั่นว่าไง

โยม : เหตุการณ์นี้ที่พระอาจารย์เล่าเนี่ย เกิดหลังจากหลวงปู่มั่นท่านเสียชีวิตไปแล้ว......

หลวงพ่อ : เสียไปแล้วหรือยังไงไม่รู้ ใช่ น่าจะอย่างนั้น เราไม่รู้ อันนี้เพราะว่า เมื่อก่อน ก่อนที่เราปฏิบัติ ตรงนี้เราจะเช็คมากระหว่าง พ.ศ. การเกิดและการตายจะมาเทียบกัน ต้องเอาวิทยาศาสตร์จับด้วย แต่อันนั้น คือว่าเราเชื่อด้วยหัวใจแล้ว เราเลยไม่มีอะไรค้านไง เรามีความเชื่อเข้าไปเต็มตัวแล้ว คือหลงไปแล้ว หลงเชื่อไปแล้ว ก็เลยไม่ค้าน ก็เลยไม่ได้หา อันนี้อันหนึ่ง ที่ว่าจิตของครูบาอาจารย์ที่นิพพานไปแล้วยังสามารถติดต่อกับลูกศิษย์ได้ไหม

เราพยายามใช้ธรรมะตรึก พยายามใช้เหตุใช้ผล เราถึงบอกว่าเรามั่นใจ มั่นใจแล้วออกช่องนี้ ออกช่องนี้ว่าอาหาร ๔ ใน วัฏฏะ กวฬิงการาหาร คำข้าวของมนุษย์ วิญญาณาหาร อาหารของเทวดา ผัสสาหาร อาหารของพรหม มโนเจตนาหาร (มโนสัญเจตนาหาร) เป็นการสืบต่อระหว่างจิตที่นิพพานเข้ามาสู่จิตที่ต้องการศึกษา มโน มิงปิ นิพพินทะติ มะโนวิญญาเณปิ นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ มโน ทำลายมโนแล้ว มโนเจตนาหาร มโนเจตนาหาร อาหารคือการหล่อเลี้ยง อาหารคือสิ่งดำรงชีพในวัฏฏะ ในเมื่อพระอรหันต์ออกไปจากวัฏฏะแล้ว ไม่เกี่ยวกับวัฏฏะแล้ว ฉะนั้นพระพุทธเจ้ามาช่องเนี่ย

ทีนี้จะมาช่องนี้ได้จิตของเราเนี่ย มึงไปนั่งมึงไม่เห็นหรอก เพราะอะไร เพราะระดับของจิตเราไม่เท่ากัน มโน มโนคือฐีติจิต มโนคือจิตเดิมแท้ สิ่งที่มีอยู่เนี่ยเป็นสมมุติไง ทีนี้เรายังมีสมมุติอยู่สิ่งนี้ถึงมาได้ เรายืนยั นได้เลย มาได้ ยังยืนยันว่ามาได้

ถาม : ถ้าต้องการไปสู่นิพพาน เราควรจะทิ้งทางโลกแล้วออกบวชเลยดีไหม ถ้าคำตอบคือใช่ แล้วหน้าที่ของลูกที่ต้องดูแลพ่อแม่ เราจะทำอย่างไร ส่วนเรื่องหน้าที่การงานเราต้องทำเลี้ยงชีพเราจะทำอย่างไร

ตอบ : อันนี้เป็นเวรเป็นกรรมนะ พระพุทธเจ้าเวลาออกบวชน่ะ พระเจ้าสุทโธทนะเจ็บช้ำน้ำใจมาก พระพุทธเจ้าบวชแล้วเป็นศาสดาแล้ว ไปเอาสามเณรราหุลมาบวช พระเจ้าสุทโธทนะช้ำใจอีกสองเท่า ถ้าไม่มีความช้ำใจจากพระเจ้าสุทโธทนะ เราจะไม่มีศาสนานี้ขึ้นมาเลย ความเจ็บช้ำน้ำใจมันเรื่องของกิเลสทั้งหมด เราจะต่อสู้กับกิเลส เราต้องผ่าน ผ่านออกไป มันต้องมีการลงทุน เวลาออกบวชแล้วมันหาได้น้อยมาก

นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา เนี่ย สร้างบุญญาธิการมามหาศาลเลย เป็นคนที่มีบุญอำนาจวาสนามาก เวลาเกิดเนี่ยไปเกิดเป็นลูกชาวนา เป็นลูกคนทุกข์คนยากคนจน คนทุกข์คนยากคนจนเพราะอะไร เพราะพ่อแม่เขาปรารถนาให้บวช พอเกิดในประเทศอันสมควร เขาเกิดเนี่ยออกมา เขาเกิดแล้วเขาจะได้บวชแน่นอน เขาบวชของเขา ไอ้เราก็บอกว่า โอ้ย ถ้ามีอำนาจวาสนามันก็ต้องเกิดเป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าคุณ เจ้าฟ้าเจ้าคุณเขาก็เอาโซ่ผูกไว้สองขาเลย มึงจะต้องอยู่ปกครองประเทศโน้นน่ะ เนี่ยเกิดในประเทศอันสมควรไง

ฉะนั้นไอ้สิ่งที่ว่าหน้าที่เลี้ยงดูพ่อแม่ก็ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ทีนี้เรามีลูกกี่คนล่ะ อย่างเช่นเราพูดเมื่อกี้ อย่างเราเนี่ย พี่น้องเราก็มีอยู่ แต่พ่อแม่เราก็ไม่หวังพึ่งเขาสักคน ทำไมหวังพึ่งเราล่ะ หวังพึ่งเราเพราะจิตใจเรามันมีหลักมีความมุ่งมั่นของมัน อยู่ที่ไหนมันก็เป็นคนดี คนดีไปตกที่ไหนมันก็ดี คนจริงคนจังทำอันไหนมันก็ประสบความสำเร็จล่ะ แต่ถ้าคนน่ะ ดูสิ วัดเนี่ย พระที่เขาขุดมาน่ะ พระตะกั่ว พระหัก พระที่เขาไม่ใช้เนี่ยเขามาถวายวัดทั้งนั้นน่ะ เขาไปขุดเจอพระทองคำนะ เขาไม่กล้าไว้ไหนเขาเอามาถวายวัดเหมือนกัน คนดีที่สุดก็มาบวชอยู่เป็นพระ คนชั่วที่สุดมันก็บวชอยู่ในพระ แล้วเราจะเลือกเอาใคร

แล้วทีนี้สำหรับเรา เราบอกว่าถ้าเราจะปรารถนาไปนิพพาน แล้วเอ็งไปได้ไหมล่ะ พอเอ็งบอกว่าเอ็งปรารถนาไปนิพพานนะ แล้วต้องทิ้งพ่อทิ้งแม่ไหม จะมาบวชได้ไหม พอมาบวชเสร็จแล้วนะ โอย พุทโธทีไรก็พ่อจะกินข้าวอะไร พุทโธทีแม่จะกินข้าวอะไร มึงยิ่งภาวนาได้นะ มึงยิ่งทุกข์เข้าไปอีก มันต้องดูความเหมาะสม ดูกาลเวลา อย่างเช่น ถ้าเราอยากจะสู่นิพพานใช่ไหม พ่อแม่เราก็มีใช่ไหม เราก็หาเงินก้อนหนึ่งใช่ไหม เอ้า พ่อแม่อยู่ได้ไหม พ่อแม่เลี้ยงได้ไหม มีพระหลายองค์มาก ที่หาเงินให้พ่อแม่ไว้แล้วนะ แล้วมาบวชเนี่ย พอบวชตูมเข้ามา พ่อแม่มีตังค์ใช่ไหม ไอ้พวกนั้นก็เข้ามาหลอกพ่อแม่ไปเล่นการพนันนะ เล่นการพนันเสร็จนะ แม่มีหนี้ท่วมหัว ลูกสึกออกไปทำเงินใช้หนี้เยอะแยะเลย กงกรรมกงเกวียน

ไม่ใช่ว่าเราบวชแล้วเราจะไปสู่นิพพานเราจะไปได้ สู่นิพพานมันก็อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องพ่อแม่เราก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วความสมดุลของเราความพอดีของมันอยู่ตรงไหน ถ้าความดีของมันนะ ในสมัยพุทธกาล เรื่องเยอะมาก พระรัฐบาลนะพ่อแม่เป็นเศรษฐีเห็นไหม มีลูกคนเดียว ไม่บวชอดข้าวตาย สุดท้ายพ่อแม่จำเป็นต้องให้บวช บวชเสร็จแล้วปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา มาเยี่ยมบ้าน นิมนต์มาฉันที่บ้าน พ่อแม่ก็เอาเงินเอาทองมากองไว้เต็มบ้านเลย คือว่า บอกถามลูกเลย บอกว่า เงินทองเนี่ยทำยังไง เงินทองเนี่ย เพราะพ่อแม่ก็แก่เฒ่าแล้ว พระรัฐบาลบอกว่าเงินทองเนี่ยนะ เอารถเข็น เข็นไปลงแม่น้ำแล้วดั้มทิ้งไปเลย

นี่เรื่องจริงนะ เพราะพ่อแม่ก็ใฝ่ถึงเงินทองใช่ไหม ไอ้ลูกเป็นพระอรหันต์น่ะ เงินทองมันแร่ธาตุ ชีวิตกูมันจะไปเกี่ยวอะไรกับเงินทอง เงินทองมันจะมาบงการชีวิตกูได้ยังไง ชีวิตกูคือชีวิตกู เงินทองก็คือเงินทอง แล้วเงินทองมาเกี่ยวอะไรกับชีวิตกูล่ะ ชีวิตกูไม่มีอะไรติดค้างในหัวใจแล้ว แต่ไอ้พ่อแม่เนี่ย หาบเหงื่อต่างน้ำมา หาเงินทองมาเกือบตาย หามาเสร็จแล้ว พอจะตายขึ้นมาก็ติดเงินทอง ถ้าตายตูมขึ้นมา ก็เป็นตุ๊กแกไปนอนอยู่กองทองนั้นเลย เงินทองเนี่ยซื้อหามาเยอะแยะแทนที่จะเป็นประโยชน์นะ ไปติดพันมันนะ ตายตูมปั๊บ มันมีความสัมพันธ์มีผูกพันกับมันไง ก็ไปเกิดเป็นตุ๊กแกนอนเฝ้าไง เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์

เงินทองมันให้ผลถ้าเรามีปัญญา แล้วเราใช้มันเป็นประโยชน์ เงินทองจะให้โทษมากเลย เศรษฐีเยอะแยะไปเลยไม่กล้าใช้ ไม่กล้ากินน่ะ เศรษฐีนะ กินยิ่งกว่าคนทุกข์คนยาก ไอ้คนทุกข์คนยากน่ะมันน่ะกินทุกวันน่ะ อะไรก็จะกิน ไอ้เศรษฐีไม่กล้ากินน่ะ มีเงินมีทองแท้ ๆ เนี่ยพ่อแม่คิดอย่างนั้นเห็นไหม พ่อแม่ก็คิดแต่เงินทองทั้งนั้นน่ะ ไอ้ลูกเป็นพระอรหันต์น่ะ เอาไปดั้มทิ้งเลย พ่อแม่ช็อกเลย ให้ตอบ เราจะตอบ ถ้าเราตอบไปเนี่ย มันก็บอกว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้นใช่ไหม แต่เราต้องดูเหตุผลสิ จิตใจเราเข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน จิตใจเราเข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน ในครอบครัวของเราเนี่ย เราจะทนแรงเสียดสีได้มากแค่ไหน

เราไม่อยากจะเล่านะ เล่าก็เหมือนกับเอาเรื่องกับว่าเอาตัวเองมาขายทุกที เรากว่าจะได้บวชเนี่ยเกือบเป็นเกือบตาย เพราะพ่อแม่ไม่อนุญาต บวชไม่ได้ กว่าจะบวชได้เนี่ยนะ โอ้โฮ วิกฤต ๆ กว่าพ่อแม่จะหลุดปากน่ะ มึงไปไหนก็ไปเถอะไป เรียบร้อย ๆ ไปถึงอุปัชฌาย์อนุญาตแล้ว บวชทีช็อกเลย ตอนนี้เสียไปแล้ว ท่านนอนแล้วไม่ตื่น ไม่มีทุกข์ไม่มีโรคอะไร นอนหลับแล้วตายไปเลย อายุเจ็ดสิบกว่า ปี ๔๐ พ่อเสียไปแล้วเหลือแต่แม่ นี่สร้างบ้านพักเสร็จอยากจะเอาแม่มาไว้นี่ ท่านจะยอมมาไม่มาไม่รู้ เพราะเป็นอัมพฤกษ์ข้างหนึ่ง เส้นเลือดในสมองแตก ถ้าเอามาไว้นี่ได้จะเอามาไว้นี่ เพราะเราก็ถือว่าเราก็ทำมาขนาดนี้แล้ว เอาแม่มาไว้คนหนึ่งเขาคงไม่ว่าหรอก เอาแม่มาไว้คนเขาคงไม่ติฉินนินทาหรอก

ถาม : ศาสนาอื่นเกิดได้อย่างไร จะให้ทราบได้อย่างไรว่าเราเดินมาถูกทางที่ถูกแล้ว แล้วเราจะอธิบายให้เขารู้ได้อย่างไรว่า ของเราดีของเราถูก

ตอบ : ศาสนาอื่นเกิดได้อย่างไร หลวงตาพูดประจำ ศาสนาอื่นเกิดโดยลัทธิ ลัทธิศาสนา ลัทธิไม่ใช่ตัวศาสนา ศาสนาเนี่ย หลวงตาท่านพูด ท่านไม่อยากจะพูด มันเป็นการ เขาเรียกว่าเหยียบย่ำกันน่ะ ไม่ดี เราก็คิดเหมือนหลวงตานะ ศาสนาอื่นไม่มี มีศาสนาเดียวในโลกนี้คือพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนถึงการเกิดและการตาย พระพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องชีวิต เรื่องตั้งแต่ชีวิตมาจากไหน มาเป็นเราได้ยังไง แล้วชีวิตนี้สิ้นสุดขบวนการของการไม่เกิดได้ยังไง ชีวิตนี้ถ้าไม่สิ้นสุดของการเกิด คือคนยังมีกิเลสอยู่มันจะเกิดยังไง มันจะเป็นไปได้ยังไง

ศาสนาเนี่ยตอบสนองเรื่องของชีวิตได้ทุกแง่มุม นี้ถึงเป็นศาสนา ศาสนาอื่นไม่เคยตอบเรื่องอย่างนี้ได้ แล้วศาสนาอื่นไม่ใช่ศาสนา ศาสนาอื่นคือแก๊งสเตอที่หาตังค์น่ะ ไม่ใช่ศาสนา เป็นแก๊งสเตอที่หาตังค์หาอำนาจ แต่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ตอบสนองถึงชีวิต ตอบสนองถึงทุก ๆ ทาง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าของเราถูก เนี่ย คำนี้เราเสียใจ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าของเราถูก เอ็งยังไม่เชื่อพระพุทธศาสนาอีกเหรอวะ เอ็งยังไม่เชื่อพุทธะอีกเหรอ เอ็งไม่เชื่อความทุกข์ความสุขในหัวใจของเอ็งเลยเหรอ

เนี่ยเราจะรู้ได้ยังไงว่าของเราถูก ถูกสิ เอ็งทุกข์ไหม เอ็งก็ทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนน่ะ อริยสัจคือความจริง ทุกข์มันมีไหม ทุกข์มันก็มี ทุกข์เป็นความจริงอยู่แล้ว แล้วเอ็งไม่ทุกข์ เอ็งไม่รู้เหรอ แล้วแก้ทุกข์ยังไง แล้วถูกไหมถูก ครูบาอาจารย์เราก็มี ทีนี้ย้อนกลับมาในวงค์กรรมฐาน วงศ์พระของเรา ที่บอกว่าองค์ไหนก็ว่าแจ๋ว ๆๆ น่ะ งี่เง่าทั้งนั้นน่ะ ซื่อบื้อ ธรรมะนะ หลวงปู่ฝั้น ครูบาอาจารย์ถ้าเป็นธรรมนะ พูดออกไปแล้วนะ ไม่มีจุดใดที่เป็นจุดที่ให้เราเคลือบแคลงได้ พระพุทธเจ้าบอกเลยธรรมะของเราแบตลอด ไม่มีกำมือในเรา แบ แบชัดเจนเลย เพียงแต่วุฒิภาวะของเราเข้าไม่ถึงเท่านั้นเอง

ฉะนั้นคนที่เป็นเนี่ย ฟังธรรมเนี่ย พระพุทธเจ้าบอกแบอยู่ตลอดเวลาเลย เหมือนกำลังภายใน เห็นไหม เขาไม่มีวิชาเร้นลับ ไม่มีวิชาที่เขาจะเก็บไว้เพื่อจะหักหาญกัน เพราะวิชาอย่างนั้นมันวิชาสิ้นกิเลส มันต้องจบสิ้นกระบวนการ แบหมดเลย ถ้าใครถึงสิ้นนิพพานนะเหมือนกันหมดเลย แล้วครูบาอาจารย์ของเราพูดมาน่ะ คนเป็นน่ะฟังน่ะ แบหมดเลย แต่ไอ้เวลาพูดมา ถ้าแบไปแล้ว มัน กูจะไม่ดังไง กูจะต้องมีเคล็ดลับ กูจะต้องมีเทคนิค กูจะมีความรู้พิเศษ มาหากูจะได้เป็นยอดคน ส้นตีนนะ นี่ไง ว่าถูกไม่ถูกนี่ไง

หลวงปู่มั่นพยายามจะปลุกเร้าให้ทำให้ได้ ทำให้ได้มา ทำไม่ได้มาผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ ไม่มีใครมีเคล็ดลับ ไม่มีใครจะปิดกั้นมึงเลย ขอให้พวกมึงทำให้ได้ขึ้นมา มีแต่พวกเราน่ะไม่มีวุฒิไม่มีความสามารถ พวกเราก้าวเดินขึ้นมาไม่ถึง ไม่มีโอกาสเท่านั้นเอง มึงมีโอกาสมึงทำมาสิ นักกีฬาเนี่ย โค้ชนะ เขาจะโค้ชให้มึงถึงเหรียญทองเลย แล้งมึงไปไหนมา โค้ชพยายามโค้ชมึงอยู่ มึงไม่เอาเองไง แล้วก็บอก ไม่เอาเองแล้วเหรียญทองอยู่ไหน เหรียญทองก็ มึงเอาตะกั่วไป มึงกลับไปเอาตะกั่ว ก็มึงไม่เอา มึงไม่ทำ แล้วทีนี้รู้ว่าถูกได้ยังไง

ลองทำสิ เอ้า นั่งสมาธิมา เอาเลย เดี๋ยวกูสอนเอง ถ้ากูสอนไม่ได้จับกูยิงเป้า มึงก็ทำไม่ได้อีกล่ะ แล้วถามว่าถูกไหม ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน ถ้ามึงไม่ฝึก มึงไม่ทำ มึงจะรู้ได้ยังไง แล้วเวลาไอ้พวกซื่อบื้อสอนชอบด้วยนะ ไอ้ชอบทำซื่อบื้อ ๆ เนี่ย เอาทำนั่งจ๋อง ๆ โห ทำสงบเสงี่ยม นิพพานนะชอบ ง่ายดีนะ เวลาบอกให้ตั้งสติให้พุทโธแม่งไม่เอา เวลาไปซื่อบื้อนะ ไปเอาหัวชนข้างฝาล่ะชอบ สบาย สบาย ก็คนมันเยอะ เหมือนกันหมดเลย โน้นก็อรหันต์ นี่ก็หันต์ หันลงนรกไง เพราะอะไร เพราะบอกว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าของเราถูก มึงจะรู้ได้ยังไงว่าของถูก เอ้ามึงก็พุทโธสิ เดี๋ยวจะรู้ไม่รู้นะ

โธ่ หลวงปู่มั่นน่ะนะ ท่านบอกเลยท่านท้าประจำ หลวงตา เวลาท่านพูดนะ ทำมาสิวะ ถ้ามันผิดเดี๋ยวจะไปฟ้องพระพุทธเจ้า เราจะพาไปอุทธรณ์เอง คำพูดนะ มันเด็ดขาดนะ คือว่า ภาษาว่าจะพาไปอุทธรณ์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนผิดตรงไหน เดี๋ยวท่านจะแก้ไง ไอ้เรามันไม่ถึงกันเอง เหมือนกับเราไม่เป็นโรคเป็นภัยน่ะ ไอ้ห่าหมอ หมอเนี่ยกูยาครบเลย เอดส์มันก็แก้ได้ ทุกอย่างแก้ได้หมดเลย แต่เราไม่เป็นโรค เราไม่รู้เรื่องน่ะ มันไม่เป็นประโยชน์ ธรรมะพระพุทธเจ้าเลยไม่เป็นประโยชน์กับเราไง แต่เราหาเหตุหาผลมาสิ เอ้า ถ้าเราเป็นโรคใช่ไหม แล้วยารักษาไม่หายจะได้รู้ว่า เออ ยานั้นไม่ดีใช่ไหม ไอ้นี่เราหาของเราไม่เจอไง เราหากิเลสเราไม่เจอ เราหาความที่เราจะแก้ไขไม่เจอ เราก็เลยทำอะไรไม่ได้

ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อเจ้าค่ะ ถ้าเป็นโสดาบันแล้วตายไปเกิดในช่วงที่ไม่พบพระพุทธศาสนา สามารถจะบรรลุธรรมได้ไหมคะ

ตอบ : ถ้าเป็นโสดาบันแล้วตายไป เกิดในช่วงที่ไม่พบพระพุทธศาสนา เพราะถ้าเข้าโสดาบันแล้ว มันเข้ากระแส พอเข้ากระแสไปแล้ว มันเป็นไป มันเป็นไปตามธรรมชาติ เราจะบอก คนบุญน่ะ มันจะไม่เกิดมาไม่พบพระพุทธศาสนาหรอก ไม่เกิดมาไม่พบพุทธศาสนาเพราะอะไร เพราะบุญมันจัด เขาเรียกอะไรนะ ธรรมะจัดสรร ธรรมะมันจะจัดสรรให้เอง

เห็นไหมเวลาเราเกิดมา เราพูดบ่อยนะ เวลาเกิดสหชาติเกิดพร้อมพระพุทธเจ้า ทุกคนอยากเกิดพร้อมพระพุทธเจ้า เนี่ยสหชาตินะ ต้องสร้าง สหชาติเนี่ยสร้างนะ อย่างพระสารีบุตร พระโมคคัลคานะปรารถนาเป็นอัครสาวกเขาสร้างทั้งนั้น เนี่ย พระพุทธเจ้านะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาเนี่ยอธิษฐานกลางศาลา นางพิมพาไม่รู้จักกันมาก่อนเลย เห็นพระพุทธเจ้าอธิษฐาน อธิษฐานคู่เลย ตั้งแต่นั้นเกิดมาด้วยกันมาตลอดเลย เนี่ย ธรรมะมันจัดสรรมาเลย

นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปห่วงหรอก ว่าเกิดเป็นโสดาบันแล้วจะเกิดมาไม่พบพระพุทธศาสนาเนี่ย นี่เราไปห่วง ไปห่วงตั้งแต่ยังไม่เป็นโสดาบันไง แล้วคิดว่ากลัวเป็นโสดาบันแล้วจะเกิดมาไม่พบพุทธศาสนา แล้วจะทำไงต่อ มึงเป็นมาเถอะน่ะ เดี๋ยว เดี๋ยวธรรมะมันจัดให้เสร็จเลย ถ้าเป็นโสดาบันแล้วนะ พอเป็นโสดาบันปั๊บ ดูสิ ดูอย่างพระโพธิสัตว์ อย่างเช่นสมณโคดมเห็นไหม มาจุติอยู่ที่อะไรนะ ชั้นดุสิตไง รอมา ตอนนี้พระศรีอริยเมตไตรยก็มารออยู่แล้ว ทีนี้ใครก็บอกว่า องค์นี้เป็นศรีเมตไตรย ศรีเมตไตรย มึงพูดไปเถอะ อีก ๕ ชาติ กูก็ไม่เชื่อมึง ฉะนั้นถึงเวลามันเป็นไป มันเป็นได้

ถาม : บางครั้งนั่งสมาธิ ถ้าจิตสงบดีจะมีอาการวูบวาบเล็กน้อย แล้วจะมีอาการเหมือนถูกใครกดหัวให้คะมำ คะมำหน้าคะมำหลังตีลังกาก็ยังเคย ครูบาอาจารย์แนะนำให้ลองฝืนกายดู ลองดูแล้วไม่ได้ผล สู้กำลังไม่ได้ ซึ่งลองเปลี่ยนอิริยาบถเลย โดยทิ้งสมาธิแล้วมาลุกเดินจงกรมแทน อย่างนี้จะถูกไหมคะ

ตอบ : ถูกนะ ไอ้เวลาคะมำหน้าคะมำหลัง ตั้งสติให้ดีไม่คะมำ ตั้งสติให้ดี “ไม่มีใครจะทำร้ายเราได้ ถ้าจิตเราไม่ทำร้ายตัวเราเอง ไม่มีใครจะทำร้ายเราได้ ถ้าจิตไม่ทำร้ายตัวเราเอง”

ฟังคำนี้ให้ดีนะ ฉะนั้นเวลานั่งไปแล้วคะมำหน้าคะมำหลัง สิ่งต่าง ๆ เพราะสติเราขาด สติเราไม่สมบูรณ์ สติเราไม่สมบูรณ์ แล้วเวลา เขาเรียก ถีนมิทธะ เวลานั่งไปแล้วเนี่ยมันเกิดความง่วง ความง่วง ความหน่วง ความหนักเนี่ย แล้วพอมันคะมำนะจิตเรามันไม่ทัน พอจิตเรา เราก็บวกกับง่วง ความหน่วง ความอะไรไป มันก็เหมือนคะมำหน้าคะมำหลัง ไอ้ถีนมิทธะ ไอ้ความง่วงหงาวหาวนอนเนี่ยมันมีอยู่โดยของมัน ถ้าตั้งสติสู้กับมัน ถ้าเป็นอย่างนี้ปั๊บ เนี่ยจะแก้นะ ถ้าจะแก้นะ เริ่มผ่อนอาหาร เริ่มผ่อนอาหาร การกินอย่ากินให้มาก การกิน กินแค่สลัด กินแค่ดำรงชีวิต

พอกินแค่ดำรงชีวิตปั๊บ มันไม่มีพลังงานในร่างกายมาก เวลามันจะเกิดสิ่งใดเนี่ย ร่างกายมันจะโปร่งมันจะเบา พอมันจะโปร่งมันจะเบา พอมันจะมีสิ่งใดจะเกิดขึ้นมาเนี่ย จิตใจเรามันไม่หนักหน่วงจนเกินไป แล้วตั้งพุทโธดี ๆ ตั้งสติดี ๆ สิ่งนี้หายหมด ไอ้คะมำหน้าคะมำหลังเนี่ยหายหมด ไอ้เดินจงกรมส่วนเดินจงกรม แต่สิ่งที่มันคะมำ เราเคยเป็นนะ เวลานั่งสมาธิบางทีเอียงอย่างนี้ เฮ้ย จะล้ม ๆ ๆ เอ้า ก็ดึงมาก็หาย แล้วมันจะล้ม ๆ มันติด เราเคยเป็น

แล้วเราไปน่ะ พวกลูกศิษย์น่ะ เวลาจิตมันจะลงสมาธิ หลวงพ่อช่วยออกทีสิ มันออกไม่ได้ ออกไม่ได้ ก็มึงออกมามันก็จบ ไอ้คะมำหน้าคะมำหลังก็เหมือนกัน ไอ้อย่างนี้มันเป็นผู้ปฏิบัติใหม่ พอปฏิบัติใหม่น่ะ อาการที่เกิดขึ้นมาเราไม่ทันมัน กิเลสมันหยาบ พอกิเลสมันหยาบ ธรรมะเราพึ่งเตาะแตะ ๆ เราพึ่งเริ่มทำ พอเริ่มทำขึ้นมามันก็มีอาการอย่างนั้น แล้วเราเข้าใจว่า เข้าใจว่าคนมากดหน้าเราลง คนมากดเรา ไม่ได้กด กิเลสมันกด กิเลสในใจเรามันกด แล้วกิเลสในใจมันกดเพราะอะไร กิเลสในใจเพราะกินอิ่มนอนอุ่น พลังงานมันเหลือใช้

การกินการอยู่ เนี่ยสะสมมัน สะสมมัน ถ้าจะแก้ไขผ่อนมัน ผ่อนมัน มีคนเยอะมากมาภาวนา มาหาเราเนี่ย หลวงพ่อทำไมภาวนาไม่ได้เลย ไม่ดีอย่างโง้นเลย มึงจะเอาแต่ผลน่ะ มึงไม่คิดไปหาเหตุเลย มึงกินข้าววันกี่มื้อ เอ้ามึงก็ต้องผ่อนสิ ตอนเย็นศีล ๘ เขาไม่กินข้าวเย็นเห็นไหม กินข้าวเย็นเสร็จแล้วน่ะ ไอ้กระเพาะมันก็โม่น่ะ ไอ้เราก็พุทโธ ๆ น่ะ เพราะอาหารในกระเพาะมัน ๖ ชั่วโมง กว่ามันจะโม่หมด แล้วมึงกินข้าวเย็นกี่โมง มึงก็เว้นข้าวเย็นสิ เขาไปทำกันนะ กลับมาเออหลวงพ่อดีขึ้น เอ่อ ดีขึ้น

พวกเราไม่เห็นค่าของศีลกันไง ศีล สมาธิ ปัญญา หลายคนกลับมาบอกว่า เออ ดีขึ้น ๆ ไอ้กินเยอะ ๆ นั่นน่ะ กิเลสมันกิน ดูสิ หลวงตาพูดเห็นไหม พระจะออกบิณฑบาตเห็นไหม คิดเลยพรุ่งนี้เช้าบิณฑบาต เขาจะให้อะไรว่ะ ไม่ไป เพราะอะไร เพราะกิเลสมันกินก่อน เราจะบิณฑบาตใช่ไหม กิเลสมันบอกว่าจะได้หมูย่าง จะได้ไก่ทอด มันกินก่อนทั้ง ๆ ที่หมูย่างยังไม่มีเลย แล้วกิเลสมันกินไปแล้ว นี่ก็เหมือนกัน เรากินข้าวน่ะ กิเลสมันกินด้วยน่ะ เช้าขึ้นมาก็ ๒ มื้อ ๓ มื้อ ๔ มื้อน่ะ กิเลสมันกินก่อนแล้ว เย็นนี้กูจะกินไอ้นั้น พรุ่งนี้กูจะกินไอ้นี่ เห็นไหม กิเลสมันกินก่อน ยังไม่ได้ไปเลย กิเลสมันกินไปแล้ว ๒ มื้อ ไอ้เราพึ่งจะใส่ปาก มื้อที่ ๓

นี่ไง เห็นไหม ถ้าเราผ่อนมันเพราะเราอยากดี เราอยากดี เราอยากเนี่ย ถ้าอย่างนี้ปั๊บนะ จิตใจมันปลอดโปร่ง เขาเรียกว่า หลวงตาใช้คำว่าธาตุขันธ์ทับจิต ร่างกายเราเนี่ยมีอาหารมาก ธาตุ ธาตุขันธ์พลังงานมันเยอะ ความคิด ขันธ์ ๕ คิดมั่ว คิดสะสม คิดกดดัน คิด ๆ สิ่งที่ฟุ้งซ่าน ธาตุคือร่างกาย ขันธ์คือความคิด กดจิต แล้วเราจะภาวนาเราไม่ช่วยมันเลยเรอะ แล้วมันคะมำ คะมำอยู่อย่างนั้น โดนเขากดหัวอยู่อย่างนั้นโดยไม่ช่วยมันเหรอ ก็ช่วยมันสิ ช่วยมัน กินน้อย ๆ หน่อย กินน้อย ๆ ลง ตั้งสติให้ดี เดี๋ยว ๆ จะดีขึ้น

ทีนี้ถ้าเราไปบอกว่า โหย โดนนั้นกดนี่ เราคิด เรายิ่งคิดตามไปมันยิ่งแรงนะ เราต้องสู้มัน เราต้องสู้กับเราเอง ปัจจัตตัง หัวใจของเรา หลวงตาพูดบ่อยนะ หัวใจของเราเรียกร้องความช่วยเหลือ แล้วเราไม่ช่วยเหลือมันเรอะ หัวใจของเราเรียกร้องความช่วยเหลือกันอยู่นี้ การช่วยเหลือมัน ประคองความช่วยเหลือ เห็นไหม กินอิ่มนอนอุ่นน้อยลง ๆ ธุดงควัตรมีไว้ทำประโยชน์อะไร ธุดงควัตรมีไว้ทำไม ขัดเกลาไง ขัดเกลากิเลส ไม่ให้มันกดหัวไง ไม่ให้มันพะวงหน้าพะวงหลังไง กินแต่น้อย อันนี้เป็นประโยชน์มากนะ

ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อค่ะ การบริกรรมพุทโธ ๆ จนพุทโธหายแล้ว สามารถพิจารณากายหรือจิตได้เลยไหมเจ้าคะ ขอความเมตตา

ตอบ : ได้ ได้เลย พุทโธ ๆ ๆ ถ้าพุทโธหายเนี่ย มันมีอยู่ ๒ ประเด็น ถ้าพูดอย่างนี้ พูดถึงภาษาเรานะ ถ้าพูดอย่างเงี่ย เราไม่ค่อยเชื่อ ถ้าพุทโธ ๆ พุทโธหาย ๆ เนี่ย คือมันตกหาย มันไม่ได้หายจริง พุทโธ ๆ แล้วมันตกหายไปนะ พุทโธ ๆ ๆ ๆ พุทโธหลับไปเลย พุทโธ ๆ แล้วไม่ได้พุทโธต่อ ถ้าพุทโธมันหายจริง ๆ นะ พุทโธ ๆ ๆ ๆ ตะโกนพุทโธเลย แต่พุทโธไม่ได้มันหายไปเอง หลวงตาบอกเลย พยายามพุทโธจนพุทโธไม่ได้เลย

คำว่าพุทโธไม่ได้คือสติปัญญามันชัดเจนนะ สติ จิตเรามันชัดเจนนะ พุทโธ ๆ ๆ ๆ จนพุทโธไม่ได้เลย แต่นี่พุทโธหายคือมันหลับไปแล้วไง นึกพุทโธก็ได้แต่มันหลับไปแล้ว มันเลยนึกพุทโธไม่ได้ไง พุทโธเลยหายไง มันมีอยู่ ๒ ประเด็น คำว่าพุทโธหายเนี่ยต้องเช็คนิดหนึ่ง คือเราเช็คตัวเองน่ะ พุทโธชัด ๆ มีพระมาหานะ เขาบอกว่าลมหายใจต้องหาย พุทโธต้องหาย เราบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะเราโต้แย้งไว้ เพราะเรากลัวเขาหลงไง พวกเราพุทโธหาย ๆ พวกเราจะทำให้มันหายไปเอง คือพวกเราจะปฏิเสธมัน พวกเราจะไม่รับรู้มัน แล้วมันไม่ใช่สมาธิ มันลงภวังค์ มันไม่มีกำลัง พุทโธไป

ทีนี้ย้อนกลับมา นี่เราพูดถึงพุทโธประเด็นเดียวนะ แต่ประเด็นเราพิจารณาได้ไหมคะ ได้ หลวงตาบอกเลยปัญญาต้องฝึก เราออกมาพิจารณาได้เลย พุทโธ ๆ แล้วจิตมันสงบแล้ว ออกใช้ปัญญา ออกใช้ปัญญาในธรรมะ ออกใช้ปัญญา ตรึกในชีวิตเรา ถามตัวเอง เกิดมาทำไหม ทุกข์ไหม แล้วชีวิตนี้จะไปไหน ตายแล้วไปไหน ถามอย่างนี้ เนี่ยใช้ปัญญา ถามตัวเอง ถามเรานี่แหละ เกิดมาทำไม ถาม ถามมัน ๆ เกิดมาทำไม ๆ ถามมัน แล้วมันจะวนหาคำตอบ นี่ปัญญาจะเกิด เพราะเราหลงผิดกันเอง แล้วถ้าปัญญามันหมุนกลับมามันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ ฉะนั้นให้ถามตัวเองนะ

ถาม : เป็นพระอรหันต์กระดูกจะกลายเป็นพระธาตุ ถ้าพระอรหันต์นั้นอธิษฐานจิตไม่ให้กระดูกเป็นพระธาตุจะได้หรือไม่คะ ไม่ได้ ไม่ได้ เราได้ยินหลวงตาพูดอยู่ หลวงตาบอกว่าเว้นไว้แต่เขาอธิษฐานไม่ให้เป็น จะไม่เป็น แต่ส่วนใหญ่แล้ว ไม่มีใครอธิษฐานไม่ให้เป็น อธิษฐานเพราะเหตุใด ฉะนั้น ส่วนใหญ่แล้ว พระอรหันต์กระดูกต้องเป็นพระธาตุ ถ้าไม่เป็นพระธาตุ ทีนี้กระดูกเป็นพระธาตุเนี่ย มันเป็นอย่างนี้ กระดูกเป็นพระธาตุอย่างเช่น หลวงปู่มั่นเนี่ย หลวงปู่มั่นเป็นอาจารย์ เป็นผู้นำนะ กว่าหลวงปู่มั่นจะเป็นพระธาตุเนี่ยกี่ปี่

เราอยู่กับหลวงปู่จวนน่ะ หลวงปู่จวนเผาไม่ถึง ๗ วัน เป็นหมดเลย ทั้ง ๆ ที่เราก็เป็นพระนะ เราก็เป็นพระ เอ๊... เราก็คิดว่ามันจะจริงหรือ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นลูกศิษย์นะ เราก็เชื่อมั่น เราเชื่อมั่นหลวงปู่จวนมากว่าต้องเป็นพระอรหันต์แน่นอน ต้องเป็นพระธาตุแน่นอน แต่มันเร็วมาก มันเร็วมากนะ พอมันเร็วมากเนี่ย เอ๊... เพราะเวลาเป็นพระธาตุเนี่ย พระเขาคุยกัน แล้ว.......เนี่ย เขาตั้งบนโต๊ะไว้ที่ชั้น ๕ เนี่ย แล้วเขาก็เอาพระธาตุของอาจารย์จวนเนี่ยใส่ตลับไว้เต็มเลย แล้วก็มีไอ้นั่นน่ะ อะไรนะ ไอ้ที่ส่องน่ะ แว่นน่ะ

เราขึ้นเลย เพราะเพื่อนกัน ครูบาพวนน่ะก็เป็นอุปัฏฐากหลวงปู่ อาจารย์จวน เขาถือกุญแจอยู่ไง พวน เอากุญแจมาเปิด จะดูหน่อย พอเปิดขึ้นมาเนี่ยนะ โอ้โฮ เป็นแก้วหมดเลย ๗ วัน น่ะ ๗ วัน เผา ๗ วันเป็น หลวงปู่แหวนน่ะ ขณะเผาเลย ทีนี้เนี่ย ส่วนใหญ่แล้วเนี่ย ที่เราบอกว่าอธิษฐานเราไม่เชื่อเนี่ย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะตอนนี้นะ ไอ้พวกจิ้งจก ตุ๊กแกเนี่ย มันอ้างตรงนี้ อ้างว่ากูอธิษฐานไม่ให้เป็นพระธาตุ ไอ้พวกจิ้งจก ตุ๊กแก มันบอกว่า มันอธิษฐานไว้ไม่ให้เป็นพระธาตุ มันบอกมันเป็นพระอรหันต์ มีคนอ้างเยอะ ฉะนั้น หลวงตาท่านพูดอยู่ว่าเป็นอย่างนั้นมีอยู่ แต่เราไม่เชื่อ ทำไมต้องตั้งอธิษฐาน อธิษฐานทำไม ไอ้พวกจิ้งจก ตุ๊กแกเนี่ย มันอ้างตรงนี้ ว่าอธิษฐานไม่ให้เป็นพระธาตุ ฉะนั้นเราถึงไม่เข้าทางมัน

โยม : มีคนที่เขาบอกว่าถ้าปฏิบัติธรรมดี ๆ แล้วน่ะค่ะ ก็สามารถอธิษฐานจิตให้กระดูกเป็นพระธาตุได้เช่นกันหรือเปล่าคะ

หลวงพ่อ : ไม่ได้ เห็นไหม อันนี้อันเดียวกันเลย อธิษฐานให้ไม่เป็น อันนี้อธิษฐานให้เป็น อู้ย ถ้าอธิษฐานให้เป็นนะ โทษนะ ถ้าอธิษฐานให้กระดูกเป็นพระธาตุได้นะ กูจะอธิษฐานให้เป็นพระอรหันต์เลย กูเนี่ยจะอธิษฐานให้เป็นพระอรหันต์เลย ทุกคนอธิษฐานเลยพระอรหันต์ เพราะอะไร เพราะกระดูกเป็นพระธาตุคือพระอรหันต์ใช่ไหม ถ้าอธิษฐานให้กระดูกเป็นพระธาตุก็คือพระอรหันต์ไง อย่างนั้นพวกเราก็อธิษฐานเป็นพระอรหันต์เลย ทุกคนอธิษฐานเป็นพระอรหันต์เลย อธิษฐานเลย

นี่เราไม่ได้โต้แย้งอะไรกันน่ะ เราพูดด้วยเหตุผลนะ ใช่ มันคือคำเดียวกันใช่ไหม อธิษฐานให้กระดูกเป็นพระธาตุก็คือพระอรหันต์ ถ้าอย่างนั้นเราก็อธิษฐานให้เป็นพระอรหันต์ซะมันก็จบ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เนี่ย เนี่ยเวลาเขาพูดอย่างนั้นปั๊บ เนี่ย เราเอาคำพูดอย่างนี้ไปโต้แย้งเห็นไหม คำพูดเขาจะไม่มีค่าเลย แต่พอพวกเราฟังเนี่ยนะ เขาบอกว่าเราอธิษฐานกระดูกเป็นพระธาตุได้นะ เอ้อ จริงเหรอวะ เออมันน่าเชื่อนะ ก็เชื่อไปเลยไง ไม่เคยคิด ไม่เคยคิดถามไง ไม่เคยคิดโต้แย้งเหมือนเด็กตะวันตกไง เด็กตะวันตกไม่เชื่อนะ พอพูดอะไรมาต้องถาม ถามว่านี่คืออะไร คิดหาเหตุผลไง

นี่ก็บอกว่า พอบอกว่าอธิษฐานเป็นพระธาตุได้ก็เชื่อเลย ถ้าอย่างนั้นกูก็อธิษฐานเป็นพระอรหันต์เลย มันก็ไปขัดกับไอ้เนี่ย ขัดกับไอ้เนี่ย ขอเอาไม่ได้ อ้อนวอนขอเอาไม่ได้ไง ไม่ได้ ถ้าได้พระพุทธเจ้าขนไปหมดแล้ว เห็นไหม ถ้าอาจารย์พูดอย่างนั้นนะ อาจารย์โกหก โกหก เดี๋ยวเขาไม่คบนะเนี่ย

โยม : เมื่อวานค่ะ พอไม่ได้นั่งสมาธิมานานมาก จนกระทั่งได้มีโอกาสได้นั่ง ที่ท่านอาจารย์ก่อนหลวงตาจะเทศน์ เสร็จแล้วพอกลับไป มีน้องคนหนึ่งเขาก็ถามว่า หลวงพ่อเนี่ยเทศน์เรื่องอะไรพอจับประเด็นได้ไหม ทีนี้หนูก็ตอบไปด้วยความที่หนูมีความรู้สึกอย่างนั้น คือว่า คือหนูไม่รู้แต่รู้ว่าได้ยินเสียงหลวงพ่อเทศน์ แต่ว่าไม่รู้ว่าพูดอะไร แต่หนูก็ตอบเขาไป คือไม่ใช่เป็นการกวนโมโหเขา เพราะหนูคิดว่าหนูจับประเด็นไม่ได้ อารมณ์นี้หมายถึงว่าหนูมีสมาธิอยู่ หนูไม่ได้จิตส่งออก เพราะหนูก็ไม่ได้มีอาการที่เหมือนกับว่าจะหลับอะไรอย่างนี้ค่ะ

หลวงพ่อ : พวกนี้มันตอบได้ ๒ ประเด็น เวลาตอบนี่นะตอบเป็น ๒ ประเด็น แต่ถ้าความจริงมันเป็นอย่างนั้นถูก เพราะหลวงตาพูดไว้ เวลาหลวงปู่มั่นเทศน์นี่เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นเทศน์น่ะ พระจะดีใจมากจะได้ฟังเทศน์ ฉะนั้นพอถ้าจิตมันลงเห็นไหม ท่านบอกจิตท่านลงน่ะ เสียงแว่ว ๆ ๆ ๆ อยู่ข้างบนน่ะ ทีนี้คำว่าเสียงแว่ว ๆ เนี่ย คำว่าตอบ ๒ ประเด็นอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่าเสียงแว่ว ๆ อยู่ข้างบนน่ะเพราะจิตมันสงบ เพราะหลวงตาตอนอยู่กับหลวงปู่มั่นน่ะ จิตท่านพัฒนามาก เพราะท่านภาวนาขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

แต่ของเราเนี่ย ถ้ามันจิตมันแว่ว ๆ เนี่ย ถ้ามันลงจริงนะ มันก็ใช้ได้ พอมันลง เพราะการฟังเทศน์เนี่ย ก็เราบอกไงเมื่อคืนพูดเห็นไหม บอกฟังเทศน์นะให้ตั้งสติไว้ เนี่ย สิ่งที่กระเทือนหัวใจเราน่ะเอาตรงนั้น ไม่ต้องอัดเทปหรอก อัดเทปเดี๋ยวกูอัดแจกมึงเอง โห เขาร้องกันใหญ่ เพราะเราวิตกกังวลเพราะเราจะไม่รู้เราจะฟังอะไรเข้าใจใช่ไหม เราก็เปิดเทปเลยนะ กูจะจำแม่งทุกคำเลย พอเราจะจำให้ทุกคำ จิตใจเราน่ะมันไม่เปิดกว้างละ เพราะมันทำงาน แต่ถ้าเรากำหนดตั้งสติไว้เฉย ๆ ใช่ไหม สิ่งใดเข้ามานะเหมือนกับเราเปิดกว้าง อะไรเข้ามาเนี่ย ถ้ามันสะเทือนหัวใจเรา สะเทือนหัวใจเรา

มีลูกศิษย์เราพูดมากเลย เอาเทศน์หลวงพ่อไปฟังนี่นะ อู้หู วันนี้ฟังนี่ถูกใจมากเลย แล้วฟังซ้ำนะ เอ๊ ทำไมตรงนี้เราไม่ได้ยินน่ะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะไอ้ว่าถูกใจมากครั้งแรก จิตมันลงตรงนี้ พอฟังครั้งที่ ๒ เนี่ย ไอ้ตรงนี้มันจืดแล้วใช่ไหม มันไปได้ยินคำใหม่ไง พอได้ยินคำใหม่อันนี้มันก็สะเทือนใจอีก จิตมันก็ดูดดื่มอีก เขาถึงบอกว่าเวลาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ ไอ้เทปที่เอาไปเนี่ย ฟังซ้ำฟังซาก ๆ นี่ มันได้ข้อมูลใหม่ ๆ ตลอด มันได้ข้อมูล นี้เขาได้ของเขาใช่ไหม

แต่ของเราเนี่ยที่เราฟังเทศน์กันอยู่เนี่ย เราไม่ได้ฟังเพื่อจะต้องให้ เราไม่ได้ทำงานวิจัยกันนี่หว่า แหม ฟังเทศน์แล้วต้อง โห อาจารย์นี่พูดถูกหรือพูดผิดวะ จะวิจัยซะเลย ไม่ใช่ เราฟังเพื่อให้จิตเราสงบไง เราฟังเพื่อให้จิตเราดี ถ้าฟังให้จิตเราดีมันลงอย่างนั้นก็ถูกต้องแล้ว พอถูกต้องแล้วเนี่ย ไอ้ที่ไม่ได้ยิน พอไม่ได้ยิน เอ้าฟังเทศน์ยังไงไม่ได้ยิน ก็ฟังเทศน์เอาจิตสงบโว้ย ฟังเทศน์เอาจิตสงบนะ เนี่ยครูบาอาจารย์ท่านพูดประจำ กรรมฐานภาคปฏิบัติเนี่ย เวลาเทศน์เนี่ย เนี่ย ๆ ๆ ๆ หัวใจเลย

เพราะการเทศน์เนี่ย เราพุทโธ ๆ ๆ เกือบตายน่ะไม่ลง เวลาฟังเทศน์น่ะมันกล่อมหัวใจ ไอ้เวลาฟังเทศน์เนี่ย เพราะฟังเทศน์เนี่ย เพราะเทศน์มันแทนพุทโธไง ตั้งสติไว้เฉย ๆ ตั้งความรู้สึกไว้ สติคือความรู้สึก ตั้งความรู้สึกไว้เฉย ๆ เนี่ย เสียงมันมาเอง แล้วเสียงมาเองเนี่ย แล้วเสียงอันไหนมันทิ่มหัวใจนะ อื้มหืม ๆ น่ะ ยิ่งดี ๆ เนี่ยคือการฟังเทศน์ กว่าเราจะปิ๊งกว่าเราจะคิดอะไรให้มันสะเทือนใจน่ะ ดูสิ เวลานั่งขึ้นมา กว่าจิตมันจะลงน่ะเกือนตาย พอไอ้นี่มันมาปั๊บ มันจะช่วยได้ดีมากเลย

ฉะนั้นสิ่งนั้นถูก เพียงแต่ว่าไอ้แว่ว ๆ ๆ ๆ อยู่ข้างบนเนี่ย บางทีนะ ถ้าจิตเราไม่สงบจริงเห็นไหม บางทีเนี่ยมันลงภวังค์ได้ แล้งลงภวังค์ได้เห็นไหม อย่างเช่นเห็นไหม เราพูดถึงสมาธิเนี่ย เนี่ยถ้าขณิกสมาธิเนี่ยมันยังได้ยินได้ อุปจารสมาธิก็ยังได้ยินได้ ได้ยินได้เห็นไหม แต่ถ้าอัปปนาสมาธิเนี่ยได้ยินไม่ได้ ได้ยินไม่ได้เพราะอะไร อัปปนาสมาธิเนี่ย พอพุทโธ ๆ เข้าไปขณิก อุปจาระ พออัปปนาเนี่ยจิตมันหดตัวเข้าไปเป็นเอกเทศเลย พอจิตหดตัวเป็นเอกเทศเนี่ย มันหดตัวเข้ามาเป็นเอกเทศน่ะสติพร้อมนะ สติพร้อมสักแต่ว่ารู้ เนี่ยแจ๋วมากลย แต่ความรับรู้สึกของกายไม่มี อายตนะเนี่ยดับหมดไม่รับรู้อะไรเลย อัปปนาสมาธิเป็นอย่างนั้น

เรื่องของสมาธิ ถ้าใครพูดนี่ ทีนี้เห็นไหม มันดับหมด มันไม่แว่ว ๆ เลย แว่ว ๆ เนี่ยมันยังออกรับรู้ใช่ไหม ออกรับรู้เสียงแต่ไม่รู้ว่าเสียงคืออะไร ออกรับรู้เสียง อายตนะไงหูยังกระทบอยู่ รับรู้เสียง รับรู้เสียงมา ได้ยิน แต่ไม่รู้ว่าความหมายมันคืออะไร เนี่ย แล้วภาวนาไปเรื่อย ๆ ให้มันสงบ ให้มันดีขึ้นมา แล้วจิตถ้าสงบแล้ว มันออกรับรู้อายตนะ ไอ้กาย เวทนา จิต ธรรมเนี่ย แล้วให้มันจับได้ แล้วแยกแยะมันน่ะ นั้นจะเกิดวิปัสสนา

ถูก จะบอกว่าถูกไปก่อน แต่เวลาเราตอบ เราตอบเป็น ๒ คือกันไว้ เพราะเราโดนอย่างนี้มาแล้ว ลูกศิษย์เราเนี่ยนั่งตลอดรุ่ง นั่งตลอดรุ่ง ไอ้เรื่องนั่งตลอดรุ่งเนี่ยนั่งได้สบายมาก นั่งได้ทุกคืนเลย นั่งได้ทุกคืน แล้วเราก็แปลกใจว่ามันนั่งตลอดรุ่งได้เนี่ย ทำไมมันพิจารณาไม่ได้ ทำไมจิตมันไม่มีกำลัง เขาก็เถียงว่านั่งตลอดรุ่ง เขาเป็นสมาธิ ถ้าอย่างนี้ใช่ไหม มันเหมือนเรา ค่าของอุณหภูมิ ค่าของอะไรต่าง ๆ เนี่ย ถ้าอุณหภูมิมันร้อนขึ้นมามันต้องมีค่าสิ แล้วจิตมึงนั่งตลอดรุ่งทั้งคืนทำไมจิตมึงไม่มีกำลังเลย

เราบอกเนี่ย เราว่านั่งหลับแน่นอน แต่เขาเถียงว่าไม่หลับ ๆ ๆ มีอยู่คืนหนึ่งเขาก็เอากันเลยผู้หญิง ก็นั่งเฝ้าไปนั่นน่ะ กรนครอก ครอก ๆ ๆ มันบอกไม่หลับ มันก็นั่งอยู่อย่างนั้นแหละ แต่กรนอยู่ทั้งคืนเลย แต่นั่งได้นะแล้วนั่งมาตลอด เขาก็ว่าเขานั่งตลอดรุ่ง นั่งจริง ๆ แต่นั่งหลับ แล้วพยานมันหลายคนไง สุดท้ายพอตื่นขึ้นมาพยานบอกว่าเอ็งกรนทั้งคืนเลย ยอม คิดยอมนะ นี่ไง คือผลมันไม่มี ถ้าเป็นสมาธิเนี่ยผลมันต้องมี แล้วเขานั่งตลอดรุ่งจริง ๆ ก็เขานั่งจริง ๆ แล้วเขาก็หลับจริง ๆ แต่เขาไม่รู้ตัว พอเขาหลับไปแล้วเขาว่าเขานั่งตลอดรุ่ง เขาเป็นสมาธิ แล้วเขาก็มารายงานทุกคืน ๆ

ไอ้เราก็คันหัว เกาหัวทุกคืนเลย เอ๊... ถ้ามันนั่งได้ตลอดรุ่งเนี่ย ทำไมมันไม่มีกำลัง ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ จริงจริ๊ง ๆ จริงจริงอยู่อย่างนั้นน่ะ สุดท้ายพวกโยมที่เขาอยู่ด้วยกันน่ะที่โพธารามนั่นน่ะ เขาก็เลยมานั่งเฝ้ากัน ๔-๕ คน เพื่อเป็นพยานไง เขาให้นั่งไปนั่นน่ะ ก็นั่งอยู่ด้วยกัน พยายามจะอยู่กันทั้งคืนนั่นน่ะ พอไปนะกรน โอ้โฮ สนั่นเลย แต่เขาไม่รู้ตัวเห็นไหม อันนี้ไอ้แว่ว ๆ แว่ว ๆ นะ เพราะมันเจอเหตุอย่างนี้นะ พอเวลาบอกว่าคนนี้นั่งตลอดรุ่ง คนนี้นั่งตลอดรุ่งเก่ง ยังไม่ใช่ ต้องตรวจสอบ ไม่ใช่ว่าคนนี้นั่งตลอดรุ่ง ไอ้คนนี้จะทำถูก ไอ้คนนั้นจะ ไม่ใช่ ๆ ถ้านั่งตลอดรุ่งมันมีกำลังของมัน

คนเรากำลังพร้อมทุกอย่างพร้อม เราจะพร้อมหาคนแนะไหม ถ้าคนแนะปั๊บมันจะไปได้เลย วัวชนน่ะ มันจะปล่อยน่ะมันวิ่งเข้าชนเลย ไอ้ห่าวัวชนของเราปล่อยแล้วมันไม่ไปน่ะ มันวัวพลาสติก ไอ้วัวชนเนี่ยเห็นไหม แหม มันกระทืบเลยนะ มันจะพุ่งเข้าใส่เลย มึงดึงมันไม่อยู่เลย จิตที่เป็นสมาธิมีกำลังนะ เหมือนวัวชน มีกำลังของมันกำลังนี้มหาศาลเลย มีความสุขมากและมีกำลังมากด้วย แล้วถ้าไปทำอะไรจะได้ผลทั้งนั้นเลย นี้พวกเราทำสมาธิกันไม่เป็นสมาธิ

ทีนี้ทำสมาธิแล้วมันไม่ได้สมาธิ หรือสมาธิมันไม่ลงขนาดนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะว่า โทษนะ ถ้าเราทำเฉพาะสมาธิอย่างเดียวเนี่ย มันทำงานหน้าเดียวนี่ มันไม่มีอุบายคอยแยกแยะ เราใช้ปัญญาบ้างได้ ปัญญานี่ใช้แยกแยะไป แยกแยะไป ปัญญานั้นมันก็ทำให้สมาธิมั่นคงขึ้นดีขึ้น ไม่ใช่ว่าทำสมาธิต้องสมาธิมั่นคงแล้วค่อยมาใช้ปัญญา ไม่ใช่ ทำสมาธิก็ใช้ปัญญาได้ แต่ปัญญานี้มันเป็นปัญญาของสมถะ ปัญญาทำให้สมาธินี้มั่นคงขึ้นมา แต่ทีนี้เขาปฏิบัติอยู่เขาเข้าใจผิด เขาเข้าใจทำสมาธิอยู่ พอใช้ปัญญาเขาคิดว่าอันนั้นเป็นวิปัสสนา ที่เราบอกว่ามันเป็นโลกียปัญญา ที่เป็นปัญญากิเลสใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้เนี่ย ใช้ไม่ได้คือว่ามันใช้ฆ่ากิเลสไม่ได้ แต่มันใช้เพื่อทำให้สมาธินี้มั่นคงได้

ปัญญาเนี่ยมันใช้ให้เรามีอุบาย ใช้ให้เราพัฒนาจิตของเราได้ แต่มันจะมีปัญญาอีกระดับหนึ่ง ที่เดี๋ยวพอมึงเจอนะ มึงจะบอกกูเอง แขนซ้ายแขนขวาไม่ใช่แขนเดียวกัน แต่ถ้าคนยังไม่เป็นนะ มันก็บอกว่าแขนซ้ายกับแขนขวามันอันเดียวกัน อันเดียวกัน มันก็จะบ้าอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าพระอรหันต์มันเห็นว่าอันนี้แขนซ้ายอันนี้แขนขวา อืม เถียงกูไม่ขึ้นเลย ฉะนั้นคนที่ภาวนาเป็น ภาวนาเป็น พูดง่ายมาก มันคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เอ้าแขนซ้ายกับแขนขวามันแขนเดียวกันไหม มันไม่ใช่อยู่แล้ว โลกียปัญญา โลกุตรปัญญาไม่ใช่อันเดียวกัน แต่ในเมื่อจะมีแขนซ้ายแขนขวา แขนที่ไม่มีกำลังทำอะไรไม่ได้ แขนต้องมีกำลังขึ้นมา

ฉะนั้น เวลาทำจิตสงบ เวลาทำพุทโธ ๆ ไป ถ้ามันยังไม่สงบ ใช้ปัญญาได้ ปัญญาตรึกในธรรม เพราะปัญญาตรึกในธรรม มันเห็นผลขึ้นมา จิตมันก็ละเอียดขึ้นมา จิตมันก็พัฒนาขึ้นมา จิตมันก็ปล่อยขึ้นมา ใช้ได้ ใช้ไปเลย ใช้ปัญญาได้ เพียงแต่ที่เรา ค้านอยู่นี่ เพราะเขามี มีแบบว่าปัญญาสายตรง ปัญญาสายตรง เขาบอกเขาใช้ปัญญา ของเราไม่ใช้ปัญญา แล้วปัญญาสายตรงเขาใช้ปัญญา เขายังไม่มีสมาธิเลยแล้วปัญญาอะไร เราถึงว่านั่นคือโลกียปัญญา นั่นคือปัญญาของกิเลส ปัญญาของกิเลสแต่ตรึกในธรรมของพระพุทธเจ้า ตรึกในธรรมพระพุทธเจ้า ตรึกในธรรมอภิธรรมน่ะ

ธรรมะเนี่ย จิตกี่ดวง กี่ร้อยดวง กี่พันดวง รู้หมดเลย แต่ตัวจิตเอ็งเองมันไม่รู้ เพราะจิตมันดวงเดียว คราวนี้ออกมาเป็นอาการน่ะ มันร้อยดวงพันดวง ร้อยแปดดวงน่ะ มันบอกอาการได้หมดนะ จิตดวงที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ มันบอกได้หมดเลย แต่ไอ้ดวงที่บอกมันไม่รู้ เพราะไม่มีดวงนี้มันจะบอกดวงอื่นไม่ได้ ไม่มีจิตเราเอง เราจะบอกดวงอื่นได้ไหม แล้วดวงตัวเองไม่รู้ แต่ดันไปรู้ไอ้ร้อยแปดดวงที่ยังไม่เกิดไง ไอ้ร้อยแปดดวงที่ยังไม่เกิด มันบอกได้หมดเลย ที่หนึ่ง สอง สาม สี่ หนึ่งร้อยแปดดวง มันบอกได้หมดเลย แต่ไอ้ดวงมันเองมันไม่รู้ มันไม่มีสมาธิไง

แต่ถ้ามันเข้ามาที่ดวงมันเอง เข้ามาที่สมาธิแล้ว มันจะเป็นอะไร ไอ้ดวงนี้มันจะเป็น ไอ้ดวงนี้มันจะพิจารณา ไอ้ดวงนี้มันจะออกวิปัสสนา ไอ้ดวงนี้มันจะทำลายกิเลสไง เนี่ยที่เราค้าน เดี๋ยวก็ค้าน เดี๋ยวก็รับ อะไรของมันวะ ค้าน ค้านเพื่อเอาเหตุเอาผล ค้านเพื่อให้เราเดินไปได้ ค้านหาเหตุหาผลให้พวกเราไม่ปิดช่องทาง ไอ้ที่รับ รับที่ว่าเรายังอ่อนแออยู่ เรายังไม่มีกำลังอยู่ รับตรงนี้ รับให้เราพัฒนา

อย่างเช่น นักกีฬาทุกชนิดต้องมีกำลัง นักกีฬาทุกชนิดถ้าไม่มีกำลังขึ้นมา นักกีฬานั้นไปแข่งก็แพ้หมด นักกีฬาทุกชนิดเลย เขาต้องออกกำลังกายของเขา แล้วเทคนิค เทคนิคกีฬาแต่ละชนิดนั้นเขามาฝึกทีหลัง แต่โดยพื้นฐาน ทุก ๆ นักกีฬาทุกชนิดต้องมีกำลัง ต้องร่างกายแข็งแรง ร่างกายอ่อนแอเป็นนักกีฬาไม่ได้ จิตของทุกดวงจิตถ้ายังไม่มีสมาธิ คือจิตที่อ่อนแอ จิตที่ไม่มีกำลัง จิตที่ไม่สามารถทรงตัวได้ ไปแข่ง มันจะเก่งแค่ไหนนะ เหมือนแชมป์โลกที่ตกยุค ไปเจอมือโนเนมมันก็ต่อยคะมำหมด มันโนเนมไง หมดยุคก็คือร่างกายมันไม่ไหวแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน โดยพื้นฐาน สมาธิ ๆ ที่เราทำสมาธิ ที่เราเน้นสมาธิ ให้ทำสมาธิกันอยู่ ก็เพื่อให้จิตต้องเข้มแข็งขึ้นมา นี้มันจะเข้มแข็งขึ้นมามันใช้ปัญญาได้ มันใช้เพื่อให้จิตเข้มแข็งไง ไม่ได้ใช้เพื่อวิปัสสนา นี่ เวลาบอกว่าเถียงเขา เถียงตรงนี้ไง เถียงมาก แล้วใครมาก็ยังจะเถียงต่อไปจนกว่าจะเสียงหมด จะเถียงไป เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมั่นใจว่ามันจะไม่มีใครเถียงได้หรอก ถ้าหัวใจมันไม่เคลียร์ คำพูดคล้าย ๆ กัน คำพูดน่ะ มันพูดเหมือนกันเลย แล้วมึงจะแบ่งแยกคำพูดว่าคำไหนผิดคำไหนถูกได้ คนที่หัวใจมันไม่เคลียร์ หัวใจมันไม่เปิดกว้าง มันอธิบายสิ่งที่คำพูดเดียวกัน สิ่งที่ว่าถูกผิดไม่ได้

เห็นไหม เราก็พูดธรรมะ เขาก็พูดธรรมะ คำเดียวกันเลย แต่มึงพูดผิด เอ้ามึงพูดผิด คำเดียวกันนี่แหละ แต่ถ้าเรา หัวใจเราไม่เคลียร์ เอ้า ก็พูดคำเดียวกันน่ะ แล้วผิดได้ไง ก็งงตายห่า เวลาเขาบอก เพราะมีคนมาถามเราบ่อย หลวงพ่อ เขาก็พูดเหมือนหลวงพ่อเลย แล้วบอกว่าผิดได้ยังไง ผิด ยังไงก็ผิด พูดคำเดียวกันนี่แหละ แต่มันผิดแล้วกันแหละ แต่ไม่มีใครรู้ นี่ไง ถึงต้องพูดไปเรื่อย ๆ เพราะดูแล้ว ด้วยความเข้าใจของเรา มันไม่มีใครพูดได้ พูดไปจนกว่าเสียงจะหมด แล้วก็พูดอัดเทปไว้ ต่อไปจะเป็นประโยชน์ในอนาคต เนอะ เอวัง